道行
สีของโลกที่ว่างเปล่า
ยามที่เงยมองท้องฟ้าแสนปลอดโปร่ง ไร้ริ้วเมฆหรือหมู่มวลวิหค
สีฟ้าครามเข้มทอดไกล...ห่างออกไปสุดสายตานั่น
ช่างเวิ้งว้างและว่างเปล่าเสียนี่กระไร
เวลาเคลื่อนผ่านเลยไป ราวเม็ดทรายร่วงหล่นจากนาฬิกาทราย
บางครั้งอาคาชิ เซย์จูโร่ได้หวนคิดขึ้นมา
พื้นที่รอบตัวเอง...
ไยจึงว่างเปล่าได้มากมายถึงเพียงนี้
ลึกลงไปราวกับมีโพรงลึกกลวงอยู่ภายใน
ไร้สุญญากาศ ไร้สิ่งใด ลึกราวไร้ที่สิ้นสุด
สำหรับอาคาชิแล้ว....ชัยชนะไม่ต่งจากลมหายใจที่ผ่อนเข้าและออกเป็นจังหวะสม่ำ เสมอ มันเรียบง่าย แต่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตซึ่งขาดไปไม่ได้เลย
ทำสิ่งที่ต้องทำ เดินในทางที่ต้องเดิน
จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องการ...สิ่งที่ปรารถนา...
...มันคืออะไรกันแน่?
ยามที่เงยมองท้องฟ้าแสนปลอดโปร่ง ไร้ริ้วเมฆหรือหมู่มวลวิหค
สีฟ้าครามเข้มทอดไกล...ห่างออกไปสุดสายตานั่น
ช่างเวิ้งว้างและว่างเปล่าเสียนี่กระไร
เวลาเคลื่อนผ่านเลยไป ราวเม็ดทรายร่วงหล่นจากนาฬิกาทราย
บางครั้งอาคาชิ เซย์จูโร่ได้หวนคิดขึ้นมา
พื้นที่รอบตัวเอง...
ไยจึงว่างเปล่าได้มากมายถึงเพียงนี้
ลึกลงไปราวกับมีโพรงลึกกลวงอยู่ภายใน
ไร้สุญญากาศ ไร้สิ่งใด ลึกราวไร้ที่สิ้นสุด
สำหรับอาคาชิแล้ว....ชัยชนะไม่ต่งจากลมหายใจที่ผ่อนเข้าและออกเป็นจังหวะสม่ำ เสมอ มันเรียบง่าย แต่เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงชีวิตซึ่งขาดไปไม่ได้เลย
ทำสิ่งที่ต้องทำ เดินในทางที่ต้องเดิน
จริงๆ แล้วสิ่งที่ต้องการ...สิ่งที่ปรารถนา...
...มันคืออะไรกันแน่?
เขาไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของทีมปาฎิหาริย์ แตกต่างไปจากพวกเรา...
นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความหมาย
อาคาชิพูดถึง ‘คุโรโกะ เท็ตสึยะ’ ไว้เช่นนั้น และยังจดจำได้ดีถึงเรื่องราวในตอนนั้น
คำพูดที่เอ่ยออกไปไม่ใช่ความชื่นชม
รอยยิ้มบางที่ผุดพรายขึ้นบนเรียวปากที่คล้ายกับจะอ่อนโยนนั่นก็ไม่ใช่ความถูกชะตาหรืออะไรทำนองนั่น
ลึกๆ
ในใจแล้วอาคาชิค้นพบว่าตัวเองนั่น 'สนใจใคร่รู้' ในตัว 'คุโรโกะ เท็ตสึยะ' มากกว่าจะเป็นความรู้สึกอื่นใด
ไม่ได้เก่งกาจ ไม่ได้มีอำนาจ
ไม่มีความโดดเด่นใดใด
แต่ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่แลเห็นนั่นเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและความฝันอันเจิดจรัส
ราวกับลูกแก้วที่ล่อแสงไฟ มันระยิบระยับและจับตาจนไม่มองข้าม
เขาให้ความช่วยเหลือเล็กๆ น้อยๆ
ก่อนจะชักนำไปในทางที่ตนเองต้องการ
ดำเนินเคียงคู่ไปอย่างเรียบง่ายและไม่มีสะดุด
ขอเพียงมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่รัก 'คุโรโกะ เท็ตสึยะ' ก็ไม่เคยจะปริปากบ่นต่อเรื่องที่เขาสั่งให้ทำแม้ต่อน้อย
กลายเป็นความเคยชินไปโดยอัตโนมัติ ว่าตนต้องทำตามคำสั่งของเขา
รอยยิ้มประหลาดแตะแต้มบนเรียวปากอีกครา....
ดวงตาสีแดงสดมองไปยังทิวทัศน์นอกหน้าต่าง
สองข้างทางถูกคลุมห่มไปด้วยสีขาวละลานตาจากหิมะที่ตกลงมาทับถมกัน
ช่วงวันเกิดของเขามักเป็นเช่นนี้เสมอ
มาพร้อมกับหนาวเย็นจับขั้วหัวใจและความเดี่ยวดายของอากาศที่ทึบทึม
ท่ามกลางภาพทิวทัศน์ของบ้านเรือนที่หลงเหลือเป็นเพียงเส้นสายไร้รูปร่างชัดเจน
ยามรถยนตร์ค่อยๆ เคลื่อนตัวด้วยความเร็วสม่ำเสมอ ปลายหางตากลับไปพบเข้ากับร่างอันคุ้นเคยกำลังเดินอยู่เพียงลำพัง
ตัวตนที่ดูเลือนรางราวกับจะจางหายไปในสีขาวละลานตา
..............................
...........
....
..
.
"วานิลลาเชคเเก้วหนึ่งครับ..."
เสียงราบเรียบโมโนโทน พอๆกับใบหน้านิ่งสนิทไร้อารมณ์ของเด็กหนุ่มร่างเล็ก ไม่อาจนำพาความสนใจจากพนักงานร้านมาสู่ตัวเองได้เลยแม้แต่น้อย
คุโรโกะ เท็ตสึยะถอนหายใจเล็กน้อยกับสิ่งที่กำลังเผชิญอยู่ ถึงจะชินชาแล้ว แต่มันก็สร้างความลำบากให้หลายๆ เรื่องในชีวิตประจำวันจนน่าเหนื่อยใจเหมือนกัน
แต่ก่อนที่จะได้สั่งรอบสองและอาจจะมีรอบสี่รอบห้าตามมา แรงสั่นของเครื่องมือสื่อสารในกระเป๋าข้างตัวก็ทำให้ชะงักไปซะก่อน
'ออกมานอกร้าน'
ข้อความสั้นกระชับ ติดรูปประโยคคำสั่งอันคุ้นเคยจนแทบไม่ต้องมองชื่อผู้ส่งก็รับรู้ได้ทันทีว่าเป็นใคร
...อาคาชิคุง
นึกแปลกใจมากกว่าจะสงสัย
เนื่องด้วยเวลานี้โดยปกติแล้ว
กัปตันของชมรมบาสเทย์โคจะมีคนมารอรับและน่าจะถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว หากสัญชาตญาณขับให้ผินใบหน้าไปทางผนังกระจกนอกร้าน
ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน...พร่างพรมลงมาเรื่อยร่ำราวกับไร้จุดจบ
ในดวงตาสีฟ้าอ่อนใสสะท้อนภาพของเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่งชุดนักเรียนฤดูหนาวคลุมทับด้วยโค้ทสีเข้มยืนนิ่งอยู่ข้างนอกนั่น
บรรยากาศน่าเกรงขามแผ่กำจายโดยรอบ อันเป็นเอกลักษณ์ส่งผลให้ไม่มีผู้ใดเดินผ่านไปมาจุดนั่นแม้แต่น้อย
สีแดงราวกับเปลวเพลิงโดดเด่น
ท่ามกลางสีขาวของหิมะ
ดวงตาสีต่างสีทรงอำนาจคู่นั่นสบตรงมาที่เขาและสะกดนิ่งไม่ให้เบือนหนีหรือละสายตาไปที่แห่งใดได้อีก
..............................
...........
....
..
.
มือที่จับจูงเย็นเฉียบยิ่งกว่ามือของเขา ผิดปกติโดยสิ้นเชิง คุโรโกะ เท็ตสึยะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายยืนอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน แต่มันต้องนานมากพอให้มือที่เคยอุ่นจนร้อนที่คุ้นเคยนั่นแปรเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้
“เอ่อ... อาคาชิคุง คือจะพาผ....”
“ขึ้นรถเท็ตสึยะ”
เสียงทุ้มนิ่งเอ่ยขัด
ไม่ทันให้ริมฝีปากของอีกคนที่ยังสั่นเพราะออกมาเจออากาศหนาวกะทันหันขยับกล่าวได้จบประโยคด้วยซ้ำ
ดวงตาสีแดงสดจากด้านข้างที่แลเห็นเรียบเฉยเช่นปกติ
แต่บนใบหน้ากลับเจอด้วยรอยยิ้มบาง
“อย่าดื้อสิ”
อาคาชิคุงไม่เคยบังคับ...
แต่กลับชักนำให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการได้เสมอ
อากาศในรถโรสลอยคันหรูอุ่นกว่าข้างนอกพอควร
แต่ไม่มากพอสำหรับความต้องการของใครอีกคน
อาคาชิออกปากให้พ่อบ้านประจำตัวเร่งฮีทเตอร์ขึ้นอีกนิด
และปลดผ้าพันคอลงมาสวมให้กับลำคอโล่งๆ ของเขา
ความเกรงใจทำให้อยากหลบเลี่ยง แต่สายตาคมดุสีแดงเข้มก็ปรามมาซะก่อน
ระหว่างทางที่รถเคลื่อนที่ไป เราทั้งสองคงต่างนิ่งเงียบ
ไร้คำพูด คุโรโกะไม่ได้สนิทสนมพอจะถือวิสาสะพูดจาเล่นหัวกับอีกฝ่าย
และไม่กล้าพอจะขอลงกลางทางตอนนี้
ได้แต่คิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องอะไรจะถามไถ่ถึงได้มาดักรอกันเช่นนั้น
แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่มีคำพูดใดถูกเอื้อนเอ่ยจากร่างสูงโปร่งที่นั่งอยู่ข้างกัน
"มีอะไรจะพูดกับผมหรือเปล่าครับ?
อาคาชิคุง"
เด็กหนุ่มร่างเล็กจึงตัดสินใจเอ่ยปากออกมาซะเอง
เห็นหัวคิ้วอีกฝ่ายขมวดเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนเรียวปากได้รูปนั่นจะคลี่ยิ้มจางๆ
ดวงตาสองสีจ้องสบตรงมาจนเขาเริ่มประหม่า
"เธอดูเกร็งนะ เท็ตสึยะ"
น้ำเสียงพูดเจืออาการขบขันอยู่เล็กน้อย
ส่งผลให้เจ้าของชื่อหาย เกร็ง ในฉับพลัน
ไม่ใช่เพราะบรรยากาศกดดันคลี่คลายลง
แต่เพราะเริ่มรับรู้ได้ว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่อะไร...
ไม่สิ...กับ ใคร จะถูกกว่า
การกระทำที่ดูเหมือนห่วงใยนั่นไม่ได้มีค่ามากไปกว่าการดูแลรักษา ‘เครื่องมือ’
ที่ยังใช้การได้ให้อยู่ในสภาพพร้อมสมบูรณ์แม้แต่น้อย และก็เป็นอย่างที่คาคคิด
เมื่อประโยคย้ำคุณค่าของตัวเองในฐานะ ‘เครื่องมือ’ ที่อีกฝ่ายช่วงใช้ตามมาในทันที
“พรุ่งนี้เป็นแมทช์สำคัญ...
เราต้องแสดงให้เห็นว่าความสามารถในการเอาชัยชนะของเราไม่ด้อยลงเพียงเพราะความกดดัน”
“เท็ตสึยะ”
เสียงทุ้มนุ่มเอ่ยราบเรียบ
เป็นจังหวะจะโคนลื่นไหลประหนึ่งร้อยเรียงออกมาไม่มีขาดตอน คุโรโกะรับฟังโดยสงบ
ครึ่งหนึ่งเพราะเห็นด้วยกับคำกล่าวนั่น อีกครึ่งคือความไม่รู้....
ไม่รู้ว่าจะต่อบทสนทนาเช่นใดกับอีกฝ่าย
นับจาก ‘วันนั้น’ ที่อาคาชิคุงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง....
เขาเองก็ไม่อาจพูดคุยอย่างสนิทใจกับอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
แน่นอน....
ความชื่นชมและความเคารพในฐานะ ‘กัปตัน’
ซึ่งเป็นผู้นำของทีมและผู้ที่ชี้แนะจนมอบโอกาสที่จะยืนบนสนามบาสที่ใฝ่ฝันว้ยังมีอยู่
แต่ความรู้สึกที่เคยมอง... ความคิดที่มีต่อคนข้างตัวเปลี่ยนไป
มัน...ไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
“นี่...อาคาชิคุง นอกจาก ‘ชนะ’ แล้ว ไม่มีความหมายอื่นเลยเหรอครับสำหรับคุณ?”
คุโรโกะ เท็ตสึยะตัดสินใจเอ่ยถาม นัยน์ตาสีฟ้าอ่อนจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาที่ปฏิกิริยาตอบรับเป็นแค่หางคิ้วที่ขมวดหม่นเพียงนิด
ก่อนรอยยิ้มบางจะคลี่คลายลงบนเรียวปากนั่น
“แล้ว... จะมีอะไรอย่างอื่นอีกล่ะเท็ตสึยะ?”
ผู้ถูกตั้งคำถาม...กลับเป็นฝ่ายถามกลับ
หากแต่เจ้าตัวไม่ได้รอคำตอบจากคู่สนทนา เพราะเสียงต่อมาก็คือเสียงของเจ้าตัวนั่นเอง
“สำหรับผม...
บาสเป็นสิ่งที่ทำให้สามารถพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง
แต่ก็ไม่มีความหมายอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้”
เรียบง่ายและสามัญ....
มุมมองต่อสิ่งที่ทำอยู่ในตอนนี้ของอาคาชิ
เซย์จูโร่มีเพียงแค่นี้เท่านั้นเอง
....เพียงเพื่อพัฒนาตัวเองไปอีกขั้น
ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดยิ่งกว่าที่เป็นอยู่
“หมายความว่าสิ่งที่คุณทำเพียงเพื่อแสวงหาชัยชนะเท่านั้นเองเหรอครับ?”
แต่นั่นก็ไม่ใช่คำตอบที่จะยอมรับหรือเข้าใจได้
เงาแห่งทีมปาฎิหาริย์จึงได้เลือกที่จะถามต่อไป
เรียวปากบางหยักยิ้มขึ้นอีกนิด
แววตาสีแดงเพลิงทอประกายเอ็นดูปนอ่อนใจราวกับกำลังพูดคุยกับเด็กน้อยที่อ่อนต่อโลก
ทั้งที่อายุไม่ได้ต่างกันเลยสักนิด
“ไม่หรอก... ชัยชนะเป็นสิ่งที่ผมมีอยู่แล้วตั้งหาก
อยู่ในอุ้งมือผมไม่ต่างจากปัจจัยสี่หรือสิ่งรอบตัว”
“เพราะชนะ... จึงถูกต้อง ผมชนะมาตลอด เลยถูกเสมอและจะเป็นแบบนี้เรื่อยไป”
ใช่...
ผมชนะมาตลอด.... และจะเป็นตลอดไป
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว... สิ่งที่ ‘คุณ’ ต้องการจริงๆ คืออะไรกันครับ?”
“นั่นสินะ...
ผมเองก็ไม่มีความปรารถนาหรือความต้องการอะไรในตอนนี้ซะด้วยสิ”
คุโรโกะยังคงดึงดันที่จะถามคำถามที่ไม่ต่างจากเดิมเท่านั้นนักในความคิดเขาออกมา
แต่ความจริงจังในดวงตาคู่นั้นกับแสดงความรื่นรมย์ให้ จนอาคาชิอดไม่ได้ที่กลั้วหัวเราะเล็กน้อยและยกยิ้มให้กับคำถามที่แทบจะอยากได้ว่า
‘ไร้เดียงสา’ เสียเหลือเกินนั้น
เพราะสิ่งที่ต้องการน่ะ....
ปลายนิ้วปัดเกลี่ยปอยผมสีอ่อนจะระลงมาบดบังใบหน้า ผิวของเท็ตสึยะขาว....แทบจะเรียกได้ว่าซีดจางด้วยซ้ำ
ใบหน้านิ่งสนิทราวกับตุ๊กตา และริมฝีปากที่ไม่ค่อยเอื้อนเอ่ยคำพูด
คุณสมบัติทั้งหมดยิ่งเสริมให้ตัวตนของคนคนนี้เลือนรางขึ้นไปอีก
แต่ถึงอย่างนั้น...
ประกายแสงที่ริบหรี่ดวงนี้ ก็กลับดิ้นรนที่จะส่องประกายจนเจิดจรัส
ทั้งที่เป็นแค่เงา.....ที่ต้องอาศัยแสงสว่าง
แต่คนตรงหน้า....กลับดึงดูดสายตาเขายิ่งกว่าแสงอื่นใดทั้งนั้น
เส้นด้ายเล็กบางที่หย่อนลงไปอย่างไม่หวังผล...
กลับช้อนสิ่งที่น่าประหลาดใจมาให้เขาซะได้
TBC.
Talk Zone : ตอนแรกจะทำเป็นฟิคครอสโอเวอร์.... แต่แต่งไปแต่งมา รู้สึกมีแนวทาง?ของตัวเองไปแล้ว แยกออกมาเลยล่ะกันนะคะท่านอาคาชิคร้าาาาาาา