วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557

Hana saku Shoujo-9-

花咲く少女
Hana saku Shoujo

-9-


เอเลนแทบจะอยากมุดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มบนเตียงในห้องของตัวเอง ไม่อยากออกไปไหน ไม่อยากจะพบใครทั้งนั้น ต่อให้ตอนนี้มีไททันบุกมาก็ขอนอนนิ่งๆให้พวกมันฆ่าก็ยังจะสบายใจกว่าเสียอีก

ก็ใครใช้ให้หัวหน้ารีไวทำกับเธอแบบนั้นกันล่ะ!

ประสบการณ์พิลึกพิลั่นที่เพิ่งเคยได้สัมผัสเป็นครั้งแรกตอนที่หัวหน้ารีไวพาไปขี่ม้าเมื่อสามวันก่อนนั้นทำให้ต้องม้วนผ้าห่มเข้าหาตัวแน่นขึ้น จนตัวเธอในตอนนี้แทบจะกลายเป็นดักแด้อยู่แล้ว

ถึงจะผ่านมาสามวันแล้วก็ตาม เอเลนรู้สึกว่าทำยังไงก็ไม่สามารถสลัดมันหลุดออกจากหัวไปได้เลย

เวลาที่ต้องสบตากับหัวหน้ารีไวทีไร...ก็รู้สึกเหมือนหน้าร้อนจนจะระเบิดออกมา

จะเป็นที่ไหนก็คงไม่แปลก...แต่ทำไมต้องทำตอนนี้ขี่ม้าด้วยก็ไม่รู้

เอเลนยอมรับว่าในเวลานั้นตัวเธอเองก็ค่อนข้าง...ตื่นเต้น...แต่มันดันแปลกประหลาดเกินกว่าที่จะจินตนาการถึง

...ทว่าไอ้สิ่งที่จินตนาการไม่ถึงมันดันมาเกิดขึ้นกับตัวเองซะอย่างนั้น เธอถึงแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี

แรงสั่นสะเทือนจากการวิ่งของม้า ช่วงต้นขาที่เปลือยเปล่าจนเสียดสีกับขนบนลำตัวของทั้งสัตว์ที่เป็นพาหนะและคนที่นั่งซ้อนหลัง ทั้งยังมีการกระเด้งกระดอนขึ้นลงจน...จน...ขนของม้าตัวนั้นเปื้อนไปหมด

คิดมาถึงตรงนี้เอเลนก็ฝังหน้าลงกับหมอนอย่างหมดอาลัยตายอยาก

วันนี้เธอรู้สึกเวียนหัวแบบแปลกๆ แถมเมื่อวานตอนอยู่บนหลังม้าก็มีช่วงเวลาที่เวียนหัวเล็กน้อย ทั้งๆที่เมื่อก่อนตอนเธอขี่ม้าไปทำภารกิจก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้

สงสัยจะโดนคุณฮันจิดุอีกแล้วแน่ๆที่ไปฝืนร่างกายซะขนาดนั้น แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของเธอเสียหน่อย หัวหน้ารีไวต่างหากล่ะที่ทำอะไรไม่บอกกันล่วงหน้า...

...แต่ถึงบอกล่วงหน้ายังไงก็ต้องปฏิเสธอยู่แล้ว

เอเลนลุกขึ้นนั่งพร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น แต่อีกไม่นานแสงยามเช้าก็คงมาเยือน

เด็กสาวเอามือวางทาบลงบนท้องน้อยก่อนจะเหม่อลอยไปไกล เหตุการณ์เมื่อวานดูจะแตกต่างออกไปจากเดิมเล็กน้อย

เธอรู้สึกว่าหัวหน้ารีไว...เข้ามาลึกขึ้น...แถมน่าจะ...ปล่อยเข้ามาได้ลึกกว่าเดิม

จะอธิบายยังไงดีล่ะ เพราะเอเลนก็ไม่คิดว่าตัวเองเข้าใจมันนัก แต่การที่เธอต้องนั่งเกร็งบนหลังม้าให้ได้ตำแหน่งดีที่สุดทำให้ทุกอย่างผสมผสานกันอย่างลงตัว

เธอไม่ใช่คนซื่อขนาดที่ไม่รู้ว่าการทำแบบนี้จะเกิดอะไรตามมา หัวหน้ารีไวกับเธอกลายเป็นคนๆเดียวกันตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง 

เอเลนเห็นสายตาของหัวหน้ารีไวที่มองเธอขณะที่กำลังเร่งจังหวะร่างกาย ไม่ว่าจะครั้งก่อน ครั้งหลัง หรือครั้งไหนๆ เธอได้รับการสื่อข้อความทางสายตาว่า...เขาอยากจะเห็น 'ผลงาน' จากสิ่งที่ทำอยู่

หัวหน้ายังคงเป็นผู้บัญชาการแม้ไม่ได้อยู่ระหว่างการปฏิหน้าที่ในหน่วย เขายังคงออกคำสั่งกับเธอถึงจะอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนโดยปราศจากเครื่องแต่งกายบนตัว

คำสั่งนั้นคือการให้เธอใต้การควบคุมของเขา ต้องเคลื่อนไหวไปตามการชักนำ ต้องตอบรับยามอีกฝ่ายมีความต้องการ ต้องร้องไห้เมื่อโดนทรมาน ต้องร้องครางเมื่อมีความสุข และต้องยอมเปิดประตูปราการให้ผู้บุกรุกฝ่าเข้ามาอย่างสมบูรณ์โดยไร้การป้องกัน

มีหลายครั้งที่เอเลนพยายามขืนตัวเพื่อจะถอยห่างเมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุด แต่หัวหน้าจะล็อคกลางลำตัวของเธอไว้แน่น และจะส่งแรงเข้ามาด้านในมากกว่าเดิมจนเจ็บ ในที่สุดทุกอย่างก็จะจบลงแบบเดิม...เป็นอีกครั้งที่เธอต้องรับทุกอย่างของอีกฝ่ายเข้ามา

เอเลนไม่ได้รังเกียจสิ่งเหล่านี้ แต่เธอยังคงไม่เข้าใจว่าหัวหน้ามีเหตุผลอะไร

หัวหน้าเหมือนจะอ่อนโยน แต่ก็แข็งกร้าว ไม่ผ่อนปรนแม้เธอจะร้องไห้ ความเจ็บปวดที่แล่นริ้วขึ้นมาเรื่อยๆหลังการกระทำทุกอย่างจบลงก็ไม่เคยหายได้ภายในวันเดียว

...ทว่าสุดท้ายก็เป็นเธอเองที่เป็นฝ่ายยอมสยบให้เรื่อยไป

ยิ่งคิดมากก็ยิ่งเวียนหัว แถมยังพะอืดพะอมเป็นพักๆ ลำไส้บิดตัวเหมือนต้องการเอาทุกอย่างในกระเพาะออกมา 

สงสัยช่วงนี้เธอจะกินอาหารไม่ค่อยตรงเวลา เลยเกิดอาการแปลกๆตลอด แต่ยังไงก็ต้องอดทนเอาไว้เพราะกลัวจะไม่ได้ออกไปข้างนอกอีก

เรื่องเหตุผลของหัวหน้าน่ะ...เอาไว้ค่อยคิดก็แล้วกัน


"ทำไมหมู่นี้กินน้อยจังเลยล่ะเอเลน?" 

เด็กสาวในคราบผู้ชายที่กำลังวางจานอาหารลงบนโต๊ะหยุดชะงักไปก่อนจะมองในจานของตน

ขนมปังครึ่งก้อนก้บน้ำซุป

ก็ปกติดีนี่นา

"...หรือซุปของฉันไม่อร่อย?" หญิงที่นั่งอยู่ตรงข้ามเริ่มมีสีหน้าบิดเบี้ยว

"มะ ไม่ใช่นะครับ ผมแค่ไม่ค่อยหิว"

"อย่างนี้นี่เอง...ค่อยโล่งใจหน่อย ก็นี่น่ะสูตรพิเศษที่ฉันใช้เวลาค้นคว้าตั้งหลายวัน ฉันมั่นใจว่ามันต้องอร่อยแน่ๆ"

เอเลนหันซ้ายทีขวาทีมองไปยังเจ้าของสูตรที่แสดงสีหน้ามั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม กับหัวหน้าเออร์วินที่จงใจเงียบ แต่สายตาของคนเป็นผู้บัญชาการกลับพยายามกลบความสงสัยเอาไว้ว่าถ้ามันอร่อยนัก ทำไมคนทำถึงไม่ตักมากินด้วยกัน

ใครๆต่างก็รู้ถึงฝีมือการทำอาหารที่...เอ่อ...ค่อนข้างแย่ของคุณฮันจิ บางทีอาจจะแย่ที่สุดในหน่วยสำรวจแล้วก็ได้

วันนี้เป็นเวรของคุณฮันจิที่ต้องทำอาหารเช้า ดังนั้นถ้าใครที่พอจะมีฝีมือในการล่าสัตว์ก็ยังพอจะอ้างได้ว่าจะออกไปยืดเส้นยืดสายก่อนฝึก ถึงจริงๆแล้วจะออกไปล่ากระต่ายมาย่างกินแทนเจ้าซุปนี่ก็เถอะ

...แต่เอเลนคิดว่าถ้าตัวเธอที่ร่างกายมีอาการแปลกๆออกไปล่าสัตว์ตอนนี้ อาจจะกลายเป็นอาหารสัตว์แทนก็ได้

และยังไม่ทันขาดคำก็รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมาทันที
กลิ่นสาปสางบางอย่างทำให้แทบขย้อนของกินอันน้อยนิดที่เพิ่งลงท้องไปออกมา

"ขะ..ขอตัวนะครับ!"

เด็กสาวลุกพรวดพราดออกไปด้วยสีหน้าไม่ดีนัก พร้อมกับมือที่ปิดปากแน่นอย่างกลัวอาเจียนออกมาให้เลอะเทอะและเดือดร้อนคนอื่น

ฮันจิลุกตามทันที แต่ช้ากว่าหัวหน้าเออร์วินที่ถลาตามไปแล้ว ร้อนให้เพื่อนสาวต้องดึง... ไม่สิ ออกแรงกระชากแล้วกดไหล่เจ้าตัวไว้

"ฉันไปเองดีกว่า นายนั่งเถอะ"
หญิงสาวว่า พลางมองสำรวจสภาพโดยรอบก่อนก้าวเดินตามร่างบางที่วิ่งนำไปไกลพอสมควรแล้ว

ปลายหางตาเห็นซากกระต่ายและสัตว์ตัวอื่นที่พอหิ้วหาจับได้ไม่ยากเย็นเท่านี้ในมือของทหารคนอื่น....

กลิ่นเครื่องเทศที่กำลังเตรียมพร้อมในห้องครัว กลิ่นของคาวเลือดจากสัตว์เพิ่งล่าใหม่

ทั้งที่คุ้นชินจนไม่น่ารู้สึกอะไรกับพฤติกรรมและสภาพแวดล้อมปกติเช่นที่ดำเนินเป็นกิจวัตรมาตลอด หากเอเลนกลับมีปฏิกิริยาต่อต้านแทบจะในทันที

แปลก... แปลกเกินไป

หรือว่าสิ่งที่เธอออกปากล้อเลียนไปครั้งที่เอเลนล้มลงหมดสติคราวนั้นจะเป็นเรื่องจริงกันนะ?

คิดไปก็ปวดหัวเปล่า ตอนนี้รีบตามไปดูอาการของอีกฝ่ายให้เห็นชัดไปเลยดีกว่า เพราะถ้าเป็น อะไรที่เธอคิดขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็... จะให้เด็กคนนั้นอยู่กับเจ้าคนคุ้มดีคุ้มร้าย แถมยั้งมือตัวเองไม่เป็นแบบนั้นไม่ได้หรอก

ท่อนแขนพาดไปกับขอบอ่างล้างหน้า พลางชักรอกให้น้ำที่เก็บไว้ไหลร่วงลงมา เด็กสาวสำลักกระอักกระไอและโก่งคออาเจียนอย่างหมดไส้หมดพุง

เศษอาหารปะปนไปกับน้ำสีเหลืองๆ ที่น่าจะเป็นน้ำย่อยในกระเพาะที่ตีขึ้นมา

ลำคอแสบร้อนด้วยความทรมาน ผลจากการที่น้ำย่อยไหลขึ้นมาตามทางเดินอาหารออกมา ในปากขมไปหมด แม้จะล้างคอ กลั้วปาก บังคับให้สำรอกอีกก็ไม่เป็นผล

หยดน้ำใสคลอปริ่มแทบจะรินร่วงจากดวงตาสีมรกต

....เอเลนสังหรณ์ใจขึ้นมาอย่างประหลาด....

ความรู้สึกวิงเวียน อ่อนแรง ไม่สามารถหยิบจับอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ความอยากอาหารที่ลดน้อยลง ความรู้สึกปั่นป่วนสับสน และไม่มั่นคง

เลือนราง.... สั่นไหว... และอ่อนแอ

เสียจนไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นตัวเอง รุมเร้าเข้ามาจนรู้สึกผิดแปลกจากเดิมไป หากยิ่งคิดยิ่งเวียนหัวหนักกว่าเก่า ส่งผลให้ต้องมาเกาะขอบอ่างและโก่งคออาเจียนเอาเป็นเอาตายอีกรอบ

ภาพที่คนเข้ามาเห็นรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ อดไม่ได้ที่จะดึงร่างเพรียวบางของเด็กสาวเข้ามาประคองไว้ และพยุงออกไปหาที่ที่สามารถให้เด็กคนนี้พักผ่อนได้

มือค่อนข้างหยาบกร้านกว่าหญิงสาวทั่วไป บรรจงเช็ดตามใบหน้าและไรผมชื้นเปียก

ใจจริงอยากจะให้หลับพักผ่อนให้มากๆ ไปซะเลย แต่อีกใจก็ต้องถามไถ่ให้รู้แน่ชัดถึงอาการอีกฝ่ายซะก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลลัพพ์ร้ายๆ และจะได้คิดหาวิธีแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้านี้ไปก่อน

“ฮะ... ฮัน คุณฮันจิ”

เสียงหอบพร่าอย่างโรยแรงแว่วแผ่ว ฉุดเธอจากสิ่งที่กำลังคิดอยู่ให้มาสนใจเด็กตรงหน้า และก็พบว่ามือตัวเองเช็ดเลยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

หญิงสาวเกาแก้ม แก้เก้อ ดูหมดมาดเสียจนเอเลนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้

“อ๊ะ! จริงสิ... ฉันมีเรื่องจะถามเธอนี่นะ”

จู่ๆ ฮันจิก็โพล่งขึ้นมากะทันหัน เด็กสาวกะพริบตาปริบๆ ฟังอีกฝ่ายถามไถ่อาการช่วงนี้ของตนเอง แล้วก็เล่าสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด ประกอบกับความคิดเห็นส่วนตัว

หญิงสาวอายุมากกว่าเงียบไปครู่ใหญ่หลังจากฟังจบ แล้วจึงกล่าวว่า

“น่าจะ.... เป็นอาการของคนแพ้ท้องเริ่มแรกน่ะนะ”

หัวใจหลุดวูบ ความรู้สึกวูบโหวงในอกตามมาแทบจะในทันที เอเลนคิดกังวลอยู่หลายเรื่อง แต่ลืมถึงความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นซะสนิท

และสิ่งที่กลัวมากที่สุดก็คือ... ปฏิกิริยาต่อเรื่องนี้ของหัวหน้ารีไว

“อันที่จริงก็ไม่แปลกอะไรอะนะ เพราะฟังๆ จากที่เธอเล่า หมอนั่นไม่เคยแม้แต่คิดจะป้องกันเลยนี่น่า กับเด็กในวัยเจริญพันธุ์แบบนี้ก็... อยู่แล้วล่ะ”

ผู้บังคับหมู่สาวพูดเสียงไม่ดัง แต่ไม่เบาเช่นกัน เป็นบทสนทนาที่คล้ายกับโต้ตอบกับตัวเองมากกว่าจะพูดกับเธอ หากประโยคต่อมากลับทำให้เธอไม่อาจนั่งเฉยฟังได้อีกต่อไป

“แต่ถึงจะเป็นยังไง... อันดับแรกก็ต้องบอกรีไวก่อนล่ะนะ”

“ไม่ได้นะครับ!!

เอเลนตะโกนลั่น เล่นเอาหญิงสาวอายุมากกว่าสะดุ้งเฮือก ดวงตาเบื้องหน้ากรอบแว่นแทบจะกลายร่างเป็นรูปตัวปรัศนีเลยทีเดียว

“ทำไมอะ?”

“ยัง...ยังไม่ต้องบอกดีกว่าครับ ช่วงนี้ทุกคนกำลังยุ่งๆ รอให้แน่ใจกว่านี้ค่อยบอกดีกว่า” เอเลนกล่าว

“ถ้าเธอว่างั้นก็ตามใจล่ะกันน่ะ แต่ยังไงก็ต้องบอกนะ!! ส่วนเรื่องอาการของเธอ เดี๋ยวฉันจะติดต่อหมอสักคนที่ปิดปากได้.. เอ๊ย ไว้ใจได้มาตรวจให้แน่ๆ อีกที”

หญิงสาวตบไหล่คนที่จะนอนเอนกายอยู่มานั่งกับฟูกเตียงเรียบร้อยแล้ว

“แต่ถึงยังไง... สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูแลรักษาสุขภาพตัวเองน่ะเอเลน ช่วงนี้ว่าง่ายๆ อยู่แต่ในปราสาทตามใจหมอนั่นจะดีกว่า”

“ครับ....”  เด็กสาวพยักหน้ารับอย่างจำยอม

สมองครุ่นคิดถึงคำว่า ต้องบอกนะ!’ ของคุณฮันจิในหัว ไม่หรอก... เธอน่ะ ยังไม่พร้อมรับมือกับเรื่องสำคัญขนาดนี้หรอก ยิ่งมีหัวหน้ารีไวมาเป็นหนึ่งในตัวแปรแล้วยิ่งไม่กล้าเข้าไป

บางครั้งเอเลนก็นึกสงสัยว่า... ความกล้าและหัวรั้นของตัวเอง ตกหายไปตอนไหนกัน?





Hana saku Shoujo-8-

                
花咲く少
Hana saku Shoujo

-8-



รีไวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เขาไม่ได้ฝันร้าย ไม่ได้ตื่นกลัวพวกไททันข้างนอกเพราะมีการจัดเวรยามที่แน่นหนา หรือไม่ได้มีนิสัยเหมือนเด็กที่ไม่สามารถนอนคนเดียวได้
                ตั้งแต่รีไวจำความได้ตัวเขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ไร้เพื่อนฝูง ไร้ญาติ และไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชินที่ทำให้หัวใจด้านชา จนวันหนึ่งได้มาพบกับเออร์วินและฮันจินั่นล่ะหรือควรจะเรียกว่าคิดผิดที่ได้รู้จักกับคนพวกนี้ดี
                ชีวิตในกำแพงนั้นมีแต่เรื่องยุ่งยาก ความโกลาหลก่อตัวขึ้นทุกวัน พวกทหารต่างต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถรับมือกับพวกไททันได้ แม้พวกมันจะไม่ได้มีการพัฒนาตนเองไปมากกว่าที่ตาเห็น แต่เมื่อมีไททันขนาด 50 เมตรปรากฎขึ้นมา ความสงบสุขที่ไม่เคยมีจึงบั่นทอนกำลังใจของใครหลายๆคนที่อดทนต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดข้างนอกนั่น
                รีไวไม่เคยแพ้ให้กับไททันตัวไหน การต่อสู้ระหว่างตัวเขากับสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์ที่พยายามจะปลิดชีวิตมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากหากหมั่นฝึกฝนและค่อยๆเรียนรู้จากคนระดับสูงในหน่วย รีไวไม่ชอบอวดหรือเที่ยวโพทะนาว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น มีแต่คนรอบข้างที่พยายามจะยกย่องและเชิดชู เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดีและน่าสรรเสริญ การฆ่าก็เป็นเพียงการฆ่า ไม่ได้น่าสนใจ หนำซ้ำบางครั้งยังน่าเบื่อ การที่ต้องตระเวนออกสำรวจและพบกับพวกไททันทุกวันมันไม่ได้น่าพิสมัยนักหรอกนะ
                หัวหน้ารีไวน่ะเท่มากๆเลยนะ!’
            ใช่ไหมล่ะ ฉันน่ะอยากเป็นอย่างเขาบ้าง
                ‘แต่ติดอย่างเดียวคือชอบทำหน้าตายนี่ล่ะ แถมยังอารมณ์รุนแรงอีกต่างหาก เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้
                ‘แกน่ะอย่าพูดเสียงดังไป เดี๋ยวก็โดนเชือดแบบพวกไททันหรอก
                ใครๆก็มักจะพูดถึงเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าของเขา รีไวไม่คิดว่ามันแปลกตรงไหนกับการที่ตนจะไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่เศร้า หรือไม่แสดงอาการตอบรับใดๆ สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของเติมแต่งที่ทำให้เรามัวแต่ลุ่มหลงไปกับมัน รีไวเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วกับคนที่มัวแต่หลงระเริงในชัยชนะที่ได้มาแต่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตกลับต้องถูกย้อมไปด้วยสีเลือดของตัวเอง
                น่าขำที่ใครๆต่างก็มัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้น จนในที่สุดก็กลายเป็นความน่าสมเพช
                รีไวยันตัวลุกขึ้นนั่งและพิงหลังกับหัวเตียง ความมืดรอบด้านที่ควบคู่ไปกับความเงียบสงัดไม่ได้ทำให้จิตใจผ่อนคลาย แต่สัญชาตญาณกลับยิ่งตื่นตัว โสตประสาทรับเสียงได้ดียิ่งขึ้นมากกว่าตอนกลางวันเสียอีก นี่ก็คงเป็นความเคยชินอีกอย่างจากเมื่อสมัยที่ต้องประคับประคองเอาชีวิตให้อยู่รอดไปถึงวันถัดไปอยู่ตลอดเวลา
                เมื่อได้มองอีกด้านของเตียงที่ว่างเปล่า รีไวจึงกำมือเอาไว้หลวมๆเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่ก่อตัวขึ้น ฝ่ามือยังจำได้ถึงสัมผัสของก้อนเนื้ออ่อนเยาว์ของเด็กสาว มันอวบอิ่ม สีชมพูสวยสดก็น่าจับต้องยิ่งกว่าอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ตนลืมทุกอย่างรอบตัวไปจนหมดนั้นคงหนีไม่พ้นใจกลางของหุบเหวลึกที่ส่งกลิ่นหอมหวานเหมือนดอกไม้
                ภาพเรียวขาที่ตั้งชันขึ้นบนโต๊ะในห้องครัวยังคงทำให้รีไวรู้สึกตื่นตัวแม้ในยามหลับ สะโพกมนของเด็กสาวสั่นระริกเมื่อรีไวใช้นิ้วของตนลากไล้ไปตามเรียวขา ไม่นานนักกลีบของดอกไม้สาวก็แย้มบานเหมือนดอกทานตะวันท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง ทำให้แม้อยากจะทำรุนแรงแค่ไหนแต่ตนก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้
                รีไวได้สัมผัสตรงส่วนนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง มันน่าจะเป็นความเบื่อหน่ายและไม่ควรมีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นอีกเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้ แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เขาอยากจะเข้าไปสำรวจในบริเวณนี้ให้ละเอียดมากขึ้นเหมือนๆกับที่ต้องออกไปตรวจความเรียบร้อยด้านนอกนั่น
                อะหัวหน้าอ๊ะ!’
                ‘ฉันบอกให้เรียกว่ายังไง จำไม่ได้หรือไง?’
                ‘หะ..ระ..รีไว
                ‘เรียกอีกสิ
                ‘รีไว..รีไว
                เสียงเรียกชื่อนั่นแทนที่จะน่ารำคาญเหมือนเวลาได้ยินจากปากคนอื่น แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เขาอยากจะฟังคนตรงหน้าเรียกชื่อตนไปอีกเรื่อยๆ ไม่อยากให้ริมฝีปากเล็กๆนั่นหยุดเอ่ยชื่อของตนออกมา
                เอเลน เยเกอร์เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมสำรวจ แต่มีความโดดเด่นจนน่าตกใจนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน แววตาที่แข็งกร้าวและดุดันซึ่งมาพร้อมกับความทะเยอทะยานทำให้ใครหลายคนอดจะชื่นชมไม่ได้ โดยเฉพาะยัยฮันจิ ทว่ามันช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาที่ดูแล้วน่าจะสู้กับพวกไททันได้ไม่เกินสิบวินาที
                ผมชื่อเอเลน เยเกอร์ครับ
                ‘ผมรู้แค่ว่าอยากฆ่าพวกไททันให้หมดไปจากโลกใบนี้ด้วยมือของตัวเอง
                ‘ได้โปรดเถอะครับ!’
                ความคิดแรกที่ตนมีต่อเด็กหนุ่มคนนี้คืออีกฝ่ายช่างน่าขัน อายุยังน้อย ฝีมือก็ยังไม่มี แต่อยากจะฆ่าพวกไททันจนแทบทนไม่ไหว แม้จะมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องของแม่ แต่รีไวคิดว่าใครๆต่างก็มีความทรงจำอันเลวร้ายด้วยกันทั้งนั้น ทว่าเด็กคนนี้ก็ยังคงมีปณิธานที่จะก้าวไปข้างหน้าถึงแม้จะฝึกและต่อสู้กับพวกไททันแบบล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
                ระหว่างการสอดประสานร่างกายของตนและเอเลนเข้าด้วยกัน รีไวก็สังเกตว่าสีหน้าและดวงตาของอีกฝ่ายยังคงแสดงถึงความมุ่งมั่น ถึงจะโดนแกล้งโดยที่เขาหยุดเคลื่อนไหวกลางคัน หรือทำให้ทรมานด้วยการหยอกเย้า เอเลนก็ยังคงเป็นเอเลนคนเดิม
                เพราะอะไรถึงได้มีแววตาเข้มแข็งขนาดนั้น
                ตอบฉันสิ เอเลน เยเกอร์


                เอ๋ ขี่ม้า?”
                “ใช่แล้ว รีไวให้ฉันมาชวนน่ะ ปากหนักจริงๆเลยนะหมอนั่น
                เอเลนสับสนและมึนงงกับความคิดแบบปุบปับของหัวหน้ารีไวเป็นอย่างมาก เธอที่กำลังเดินมายังห้องส่วนกลางเพื่อหวังจะมาหาหนังสืออ่านได้พบกับคุณฮันจิเข้าพอดี อีกฝ่ายยิ้มทักทายก่อนจะเปิดปากบอกเรื่องที่ทำให้ต้องตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน
                จะ จริงเหรอครับคุณฮันจิ!?” แม้จะดูเสียมารยาทกับการใช้เสียงดังเกือบเท่าการตะโกนในการถาม แต่ก็อดไม่อยู่จริงๆ
                จริงแท้แน่นอนเลยล่ะ ขอเอาพวกไททันข้างนอกนั่นเป็นประกัน
                “แต่ว่าเมื่อวานหัวรีไวเขา…” เมื่อวานอีกฝ่ายยังบอกว่าห้ามออกไปไหนอยู่เลยนี่นา
                อ๋อ ที่บอกว่าห้ามออกไปข้างนอกน่ะเหรอ รีไวคงหมายถึงถ้าออกไปคนเดียวก็ห้ามไป แต่ถ้าออกไปกับหมอนั่นล่ะก็ไม่มีปัญหา
                คุณฮันจิพูดราวกับรู้ใจของใครอีกคนที่ปรากฎชื่อไม่ได้อยู่ในวงสนทนา แต่พอเอเลนคิดตามก็พบว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย ยิ่งคิดว่าจะได้ออกไปข้างนอกก็ยิ่งตื่นเต้นจนอดยิ้มออกมาไม่ได้ ในที่สุดก็จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เสียที
                ว่าแต่ทำไมอยู่ดีๆหัวหน้ารีไวถึงใจดีขึ้นมานะ? แล้วทำไมต้องขี่ม้าด้วย?
                ฮันจิเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปก็คิดว่าอาการป่วยอาจจะกำเริบจึงรีบวิ่งเข้าไปหมายจะเอามืออังหน้าผาก แต่เด็กสาวดันก้าวถอยหลังด้วยความตกใจจากการจู่โจม จึงเป็นเหตุให้ล้มร่วงลงไปกองกับพื้นทั้งคู่
                โอยขอโทษด้วยนะเอเลน ฮันจิรีบลุกขึ้นเพราะกำลังนั่งทับอีกฝ่ายอยู่ พร้อมขอโทษขอโพยที่พุ่งเข้ามาหาแบบกะทันหัน แต่ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่สัมผัสได้ทำให้คิ้วขมวด
                เอเลนที่นอนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้มองคนด้านบนที่นิ่งไป มะ มีอะไรเหรอครับคุณฮันจิ?”
                “นะ…”
                “นะ…?” หรือว่าคุณฮันจิจะเจ็บที่หน้า
                นะหน้าอกไม่มีเลย
                “อะไรนะครับอ๊ะ!?”
                เอเลนรีบเอามือของตัวเองไปตะครุบมือทั้งสองข้างของหญิงสาวที่นั่งทับตนอยู่ เพราะสาวเจ้ากำลังล้วงมือเข้ามาในเสื้ออย่างอุกอาจ แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันแต่เอเลนก็ไม่ก็รู้สึกมันดูไม่ปลอดภัยอยู่ดี
เพราะคุณฮันจิน่ะ... ไม่ใช่แค่จับธรรมดา แต่ทั้งบีบทั้งขยำ แถมพลิกไปมาราวกับจะเลือกเนื้อหมูอย่างไรอย่างนั้น
และมือไว้ซะจนรู้ตัวอีกที่ผ้าที่รัดแผ่นอกอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้ว ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้าง มองอีกฝ่ายที่ส่งเสียง ฮุฮิ พร้อมโบกผ้าในมือที่ชิงไปจากเธอได้
                ไม่ต้องรัดหน้าอกไปขี่ม้ากับรีไวหรอกน่า ไม่มีใครเห็นหรอก แถมเผื่อถ้าสายบังเหียนเกิดหล่นขึ้นมา รีไวจะได้มีอย่างอื่นให้จับ
                พอพูดจบหญิงสาวก็หัวเราะเสียงดังและวิ่งออกไปจากห้อง แต่ยังไม่วายจะหันมาบอกทิ้งท้าย รออยู่ที่นี่นั่นล่ะ เดี๋ยวอีกสักพักรีไวจะมาพาไป คนช่างแกล้งทิ้งเด็กสาวให้อยู่ในห้องกับแผนที่และกระดาษร่างแผนการปราบไททันบนโต๊ะ เอเลนมองซ้ายมองขวาพร้อมยกแขนขึ้นมากอดอกเพื่อหวังจะปกปิดรอยนูนบนเสื้อตัวบาง แต่ทำยังไงก็ปิดได้ไม่มิด
                คุณฮันจิก็ไวยิ่งกว่าลม จะไปตามเอาผ้ารัดหน้าอกคืนก็กลัวคนอื่นจะเห็น ถ้าเจอหัวหน้าเออร์วินหรือหัวหน้ารีไวก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนอื่นมีหวังความแตกแน่ คงได้แต่ต้องรออยู่ในห้องนี้
                ว่าแต่สายบังเหียนมันจะหล่นได้ยังไงล่ะครับคุณฮันจิ!
                แล้วอีกอย่าง..... อย่างอื่นให้จับที่ว่านี่คงไม่ได้หมายถึง...
                เอเลนอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองหน้าอกตัวเองที่ดุนดันเสื้อเนื้อบางออกมา จนเห็นปลายยอดรำไร ใบหน้านวลแดงก่ำขึ้นมาแทบจะในทันทีก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ ไล่ความคิดประหลาดๆ ออกไป
                ม่ะ...คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า!!
                ดังนั้นจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะเฉยๆ ยามที่ต้องมานั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันกับหัวหน้า
ครั้งแรกที่พูดถึงการ 'ขี่ม้า' ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธออยู่ตัวเองขี่ม้าตามอีกฝ่ายเช่นที่เคยออกไปทำภารกิจด้วยกัน ฉะนั้นถึงจะมีคำพูดแปลกๆ ของคุณฮันจิชวนให้คิดลึกพอนั่งสักพักมันก็ค่อยๆ เลือนหายไป แทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ออกไปข้างนอกแทน
แต่ไหนแต่ไรเธอก็ชอบที่กลางแจ้งมากกว่าอุดอู้อยู่ในที่แคบๆ
สายลมเย็นสบาย และแสงแดดอ่อนๆ กำลังดีของยามสาย สีครามของผืนฟ้าตัดกับปุยเมฆสีขาวสะอาดที่ลอยเอื่อยๆ
ปลอดโปร่ง.... และเป็นอิสระ
ทำให้นึกถึงความปรารถนาแรกสุดที่มีในตอนเด็กขึ้นมาได้
เธออยากมีปีก... ปีกแห่งอิสระที่โผบินข้ามผ่านกำแพงสูงชัน ล่องลอยอยู่บนฟ้าอย่างเสรี
ไม่ต้องกลัวไททัน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใด
"เหม่ออะไร? ส่งมือมาสิ เอเลน"
เสียงทุ้มต่ำดังขัดภวังค์ความคิด เอเลนมองมือที่ยื่นมาด้วยความสงสัย ก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที เมื่อมองตะแคงซ้ายตะแคงขวาอย่างไร ก็ไม่เห็นม้าตัวอื่นแม้แต่น้อย
"จะให้ผมขึ้นม้าตัวเดียวกับหัวหน้า...เหรอครับ?"
คิ้วเรียวขมวดหม่นคล้ายกับจะบอกว่า 'แล้วแกมีปัญหาหรือไง?' ดวงตาสีเทาคมกริบจ้องเขม็ง หากเอเลนที่ปกติจะทำตามคำสั่งอีกฝ่ายอย่างไม่บิดพลิ้วกลับละล้าละลัง
ไม่ว่าจะซ้อนอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง...
นะ...หน้าอกที่มีเพียงผ้าผืนบางๆ กั้นอยู่ที่มันก็ต้องโดนอีกฝ่ายอยู่แล้วน่ะสิ!!

"ผะ..ผม ผมว่าผมไปหาม้าตัวอื่นมาอีกดีกว่าครับ ต่างคนต่างขี่จะคล่องตัวกว่า"
เด็กสาวตัดสินใจเองทันที แม้จะรู้สึกเสียววาบๆ กับบรรยากาศที่เย็นเยียบลงทุกขณะ และก่อนที่จะได้หมุนกายไปที่ตั้งใจไว้ มือของอีกฝ่ายก็ผละจากบังเหียนที่ถือครองไว้ เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากร่างทั้งร่างของเธอขึ้นเป็นนั่งปุ๊ตรงหน้าตักหัวหน้าพอดิบพอดี
แม้จะไม่แรงมาก...
แต่ก็แรงพอที่จะทำให้จุกพอควร เหมือนอะไรบางอย่างในตัวกระแทกและกลิ้งไปมาในช่องท้อง
หากท่อนแขนที่สอดรองเข้ามาใต้ฐานอก ยามจับบังเหียนเล่นเอาสะดุ้งเฮือกจนลืมสิ่งที่คิดอยู่ถึงเมื่อครู่ไปถนัด
“ไม่ได้รัดหน้าอกสินะ จงใจหรือไง”
เอเลนเม้มปากแน่นด้วยความอาย ก่อนจะกลั้นใจตอบไป
“ปะ..เปล่านะครับ เพราะคุณฮันจิต่างหากล่ะครับ!
บานประตูหนาหนักของป้อมปราการเปิดออกอย่างช้าๆ เสียงของประตูที่ครูดไถไปกับพื้นดังเสียจนต้องเงยหน้ามองดู
กลิ่นของสายลมลอยฟุ้งมาต้องโสตประสาท พร้อมกับลมหอบใหญ่ที่โกยกลิ่นของต้นหญ้าและดอกไม้หอมชื่นใจมาด้วย
แม้จะเป็นภาพที่เคยเห็นแล้วก็ตาม... แต่ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีของกอหญ้ากว้างไกลไปจนแทบสุดสายตา กำลังลู่ไหวไปตามสายลมและเปล่งประกายด้วยสีของแดดจากดวงตะวันที่ส่องผ่านชั้นเมฆลงมา
ราวกับภาพในหนังสือเก่าๆ ที่เคยเห็น
                รอยยิ้มสดใสร่าเริงแย้มกว้างขึ้นอย่างยินดี ผิดกับใบหน้าหม่นหมองที่เห็นมาหลายวัน
            ....ดีแล้วที่เชื่อยัยสี่ตานั่น
                นานๆ ครั้งหัวสมองของยัยนั่นก็ใช้การณ์เรื่องอื่นนอกจากเรื่องไททันขึ้นมาได้เหมือนกัน
                กีบม้าหนุ่มตัวใหญ่เยื้องเหยียบไปตามทางลูกรังด้วยความเร็วที่คงที่ ไม่ได้เร่งร้อนหรือควบทะยานเช่นเวลาปฎิบัติภารกิจ เปิดโอกาสให้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ที่สวยงามและเงียบสงบของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
                ทุกสิ่งล้วนแปลกตาไปหมดสำหรับเอเลนที่เติบโตมาในเชตชิกันชินะที่เต็มไปด้วยบ้านของผู้คนและสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกต่างๆ
                จะต้นไม้หรือทุ่งหญ้ากว้างๆ มีอาณาเขตเพียงน้อยนิด ซึ่งควรเรียกว่า สวน มากกว่าทุ่ง
                แก้วตาสีมรกตทอประกายระยิบระยับ ลืมสิ้นว่าท่าที่ตัวเองเป็นอยู่แทบจะเกยบนตักของใครรอมร่อ ซ้ำยังตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุขขยับตัวไปมา
                สะโพกเพรียวเสียดสีกับหน้าขาของเขา ข้างหน้าก็มีก้อนเนื้อนุ่มหยุนกระเด้งกระดอนไปมาบนท่อนแขน
                หากเป็นคนอื่น... รีไวคงคิดว่าแสร้งทำเป็นดีอกดีใจและยั่วยวนตนอยู่อย่างแน่นอน
                แต่ดวงตาใสซื่อที่สะท้อนเพียงภาพทุ่งหญ้าเบื้องหน้านั่น มีเพียงความร่าเริงและตื่นเต้นที่ตัวเองได้ออกมาข้างนอกเท่านั้น ความไร้จริตจะก้านและไม่ระวังตัวที่บ่งบอกถึงความไร้เดียงสาคล้ายความอายที่มีแต่แรกถูกปัดเป่าหายไปเพียงสายลมหอบหนึ่งนั่นอีก
                เล่นเอาอดมันเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ แต่เดิมแค่คิดจะพาออกมาจากป้อมและให้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เท่านั้น เห็นทีคงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ซะแล้ว
                รีไวก้มเอนตัวไปด้านหน้าก่อนจะเอาคางเกยกับไหล่คนที่นั่งมองธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน กลิ่นความหอมจากตัวอีกฝ่ายทำให้เผลอสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า จนเจ้าของลำคอพยายามจะขยับตัวออก เขาฝังเขี้ยวลงไปบนนั้นขาวอย่างไม่แรงนัก
                หะ หัวหน้า!” เด็กสาวร้องขึ้นมาก่อนจะดิ้นขลุกขลัก
                มีอะไรงั้นเหรอ…” รีไวยังคงใช้ริมฝีปากไต่ไปตามช่วงลำคอของอีกฝ่าย เพื่อหวังจะให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับที่มากขึ้น
                เอเลนหน้าร้อนจนหยุดไม่อยู่ สถานที่แห่งนี้เปิดโล่ง แม้จะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆพวกตนแต่การทำแบบนี้ในที่สาธารณะก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอ เด็กสาวพยายามขืนตัวเอาไว้ก่อนที่เลยเถิดไปมากกว่านี้ แต่นอกจากคนที่นั่งซ้อนหลังเธออยู่จะไม่ยอมหยุดง่ายๆแล้ว เขายังเพิ่มแรงบดเบียดร่างกายเข้ามามากขึ้น
                เด็กสาวรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังดุนดันช่วงล่างของสะโพกตนอยู่ ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังไม่มีอะไรแท้ๆแต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับยิ่งปะทุหนักขึ้น หนทางหนีรอดของเธอก็เป็นศูนย์ เพราะคงไม่ดีแน่หากจะกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อหนีคนๆนี้แล้วต้องแลกมาด้วยอาการกระดูกหัก
                รีไวปล่อยมือข้างขวาของตนออกจากบังเหียน ฝ่ามือทาบไปบนต้นขาอีกฝ่ายก่อนจะไล่ไปตามแนวที่นำพาไปสู่ใจกลาง นิ้วมือแตะที่จุดสัมผัสผ่านร่มผ้า ชายหนุ่มเค้นคลึงและกดย้ำที่เนื้อผ้าแรงสลับเบา ท่อนแขนของตนถูกมือของคนที่นั่งด้านหน้าจับเอาไว้เป็นหลักยึด เสียงครางจากเด็กสาวเริ่มดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ
                อะไม่เดี๋ยวจะมีคนเห็น
                ยิ่งได้ยินคำพูดที่แสดงถึงความกลัว ชายหนุ่มจึงใส่แรงลงไปมากขึ้น ปลายนิ้วเลื่อนขึ้นมาด้านบนก่อนจะแทรกเข้าไปในกางเกงที่อีกฝ่ายสวมใส่ สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือสัมผัสของไรขนอ่อนที่เป็นไปตามวัย ตามมาด้วยกลีบดอกไม้อ่อนนุ่มที่กำลังตื่นตัว รีไวทักทายมันด้วยการบีบเบาๆ ของเหลวบางส่วนจึงเคลื่อนตัวออกมาตามแรงกระตุ้น
                เอเลนไม่อยากทุกอย่างเกินเลยมากไปกว่านี้จึงพยายามดึงมืออีกฝ่ายออก แต่พอทำอย่างนั้นมากเข้าผู้เป็นหัวหน้าก็ดูจะโกรธ เพราะปลายนิ้วที่กำลังปัดป่ายไปทั่วบริเวณได้หยุดการเคลื่อนไหวลง มือขวาถูกถอนออกมาจากด้านในก่อนที่ใบหน้าของเธอจะถูกมือข้างเดียวกันจับให้หันไปด้านหลัง จูบอันเร่าร้อนบดเบียดลงมาอย่างไม่ให้มีการเตรียมตัวเตรียมใจ
                อะอื้อ…”
                “ถ้ายิ่งขัดขืน จะยิ่งเจ็บนะเอเลน เยเกอร์
                เด็กสาวตอบรับการรุกเร้านั้นด้วยปลายลิ้น สมองขาวโพลนลืมเลือนซึ่งทุกสิ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้และกำลังปฏิบัติอยู่ได้คนๆนี้เป็นผู้สอน เธอต้องรู้จักตอบสนอง ต้องรู้จักโอนอ่อน และต้องรู้จักจังหวะที่ดีที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย
                ถ้าขัดขืนก็จะเจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้
                แต่ถ้าทำตามที่อีกฝ่ายสั่งเธอจะได้รางวัลเป็นสิ่งตอบแทน
                รางวัลที่ว่าก็คือ
                “อ๊ะ!”
                มือของคนที่จูบเธออยู่กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้ แต่ตอนนี้นิ้วทั้งห้ากำลังทำหน้าที่เหมือนเช่นที่เคยทำ พื้นผิวเนื้ออ่อนเบียดตัวเข้าหาปลายนิ้วที่กำลังหยั่งเชิงอยู่ไม่ห่าง เอเลนเผลอแอ่นตัวไปด้านหลังเพื่อใจกลางลำตัวให้แนบชิด อารีรีไว
                เจ้าของชื่อยิ้มออกมาเพราะพึงพอใจในคำเรียกหา ชายหนุ่มส่งปลายนิ้วเข้าไปในประตูแห่งความเยาว์วัยที่เปิดออกกว้าง นิ้วเรียวสอดประสานไปกับดอกไม้งามที่กำลังบานสะพรั่ง ดอกตูมซึ่งกำลังเผยอตนทำให้ง่ายต่อการรุกคืบไปตามเส้นทาง ผู้บุกรุกถอยหลังและเดินหน้า สลับไปมาอย่างที่เคยเป็น
                เอเลนกระสับกระส่าย ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำเหมือนทุกครั้ง แต่แรงที่ไม่มากพอทำให้เธอไม่สามารถปลดปล่อยความอึดอัดภายในตัวออกไปได้จนหมด ประกอบกับการที่กลัวใครจะผ่านมาเห็นก็ยิ่งทำให้ไม่สบายใจจนไม่อาจแสดงอารมณ์ได้มากเท่าที่ต้องการ
                ผ่านไปไม่นาน ผู้ที่กำสายบังเหียนก็สั่งให้ม้าหยุด เด็กสาวหอบหายใจและหันหลังไปมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย ถ้าหัวหน้ารีไวจะหยุดเพียงเท่านี้เธอก็โล่งอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามหัวหน้ารีไวก็คือหัวหน้ารีไวอยู่วันยังค่ำ
                ยกสะโพกขึ้นแล้วถอดกางเกงสิเอเลน
                “เอ๋?”
                เอเลนรู้สึกตกใจกับคำสั่งนั้น ถะถอดกางเกงเนี่ยนะ!? หัวหน้ารีไวเป็นอะไรไปแล้ว!? ถ้าจะให้มาถอดกางเกงกลางทุ่งแบบนี้ล่ะก็ล่ะก็เขายอมตายดีกว่า
                จะถอดเองหรือจะให้ฉันถอดให้?”
                “ถะ ถอดเองครับ!”
                …ยังไงเธอก็ขัดขืนอะไรที่คนๆนี้สั่งไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว หลังจากนี้ค่อยกระโดดไปกลางวงล้อมของพวกไททันแล้วให้พวกมันกินก็แล้วกัน
                เด็กสาวยันมือบนแผงคอของม้า แม้จะรู้สึกอายแค่ไหนแต่ถ้าให้อีกฝ่ายเป็นคนถอดให้ก็คงจะแย่เข้าไปใหญ่ ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันผู้ออกคำสั่ง สะโพกของเธอจึงถูกจับแน่นและถูกยกลอยขึ้นสูงจากลำตัวม้าพอสมควร
                หะหัวหน้าครับ!”
                “รีบๆถอดสิ มัวรออะไรอยู่
                เมื่อถูกสั่งให้รีบ เด็กสาวจึงหลับตากลั้นใจปลดกระดุมกางเกงออก จากนั้นจึงเลื่อนปราการด่านแรกออกไปให้พ้นสะโพก ผ้าสีขาวหล่นไปกองตรงขา ตอนนี้เธอมีเพียงกางเกงชั้นในที่ใช้ปกปิดความลับแห่งหญิงสาวเอาไว้
                รีไวมองบั้นท้ายกลมกลึงที่ขาวเนียนไปทุกตารางนิ้ว เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้บนเนื้อแน่นที่ไร้รอยขีดข่วนใดๆแล้วจึงนึกสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงสามารถผ่านการฝึกหฤโหดมาได้โดยไร้รอยตำหนิ
                แต่ถึงคิดหาเหตุผลไปก็คงไม่ได้อะไรกลับมาเพราะเอเลน เยเกอร์มักจะมีความลับที่น่าค้นหาซ่อนอยู่เสมอ
                อะอุก!”
                เด็กสาวหน้าคว่ำลงไปขนบนแผงคอของม้าอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะสะโพกของตนถูกยกขึ้นให้สูงกว่าเดิม เอเลนใช้แขนกอดคอกว้างของม้าไว้แน่นเนื่องจากกลัวจะหล่นลงไป ขณะที่กำลังจะหันไปถามถึงเหตุผลกับคนข้างหลัง ความเปียกชื้นที่กำลังแตะลงบนผิวเนื้อของเธอโดยตรงก็ทำให้ลืมคำพูดทุกอย่างไปจนหมด
                การหาเหตุผลกับหัวหน้ารีไวคงเป็นยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
                รีไวไม่ได้ถอดกางเกงชั้นในของเด็กสาวออก แต่ได้ดึงเนื้อผ้าซึ่งกำลังเปียกชื้นที่พาดผ่านกึ่งกลางลำตัวของอีกฝ่ายออกไป ส่วนของชั้นในที่ถูกดึงรั้งออกมาเผยให้เห็นส่วนล่างของเนินเนื้อที่มีสีเข้มขึ้นจากแรงกระตุ้น กลีบดอกที่หุบเข้าก่อนจะเผยอออกในวินาทีถัดทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะส่งปลายลิ้นไปชิมรสชาติของน้ำหวานที่เพิ่งผลิตออกมา
                เอเลนอยากจะร้องไห้ด้วยความอาย เธอไม่เคยขนาดนี้มาก่อน หากใครมาเห็นภาพตอนนี้ก็คงจะต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ ทั้งร่างกายช่วงล่างที่เปลือยเปล่า ทั้งสะโพกที่ถูกยกสูงจนเหมือนเป็นเธอเสียเองที่เสนอตัวให้ ทั้งหัวหน้ารีไวที่กำลังชะโงกหน้าเข้ามาในส่วนที่ควรจะเป็นความลับของเธอ และทั้งยังอีกสารพัด
                ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นบนหลังม้าตัวหนึ่ง
                อืออะไม่…”
                “ไม่เอาแบบนี้ก็ได้
                เด็กสาวคิดว่าหัวหน้าของเธอคงจะเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ผิดไปแน่นอน เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนอีกฝ่ายกำลังจัดการอะไรกับตัวเอง ซึ่งพอเธอก้มมองลอดผ่านช่องว่างไปจึงได้รู้คำตอบว่าเธอและเขากำลังจะเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
                รีไวมองสภาพร่างกายของตนที่พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนต่อไป ผิวเนื้อตรงใจกลางที่เปรอะเปื้อนของคนตรงหน้าเองก็แสดงให้เห็นว่ากำลังรออยู่เช่นกัน แม้เด็กสาวจะหลับตาพร้อมกับเม้มปากแน่นเหมือนจะไม่เต็มใจแต่จะให้มาหยุดอยู่ตรงนี้ก็คงไม่ได้แล้ว
                นั่งลงมาสิเอเลน
                คำสั่งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูจะยากที่สุดในบรรดาคำสั่งทั้งหมดของวันนี้ทำให้เด็กสาวถึงกับต้องกลั้นหายใจ มะ มันเจ็บ…”
                ค่อยๆนั่งลงมาสิ ฉันจะช่วยเองชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อหวังจะคลายความกลัวให้
                เอเลนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สองสามครั้งจากนั้นจึงย่อตัวลง สะโพกค่อยๆลดต่ำไปตามแรงนำของฝ่ามือใหญ่ การเคลื่อนไหวหยุดชะงักเมื่อส่วนล่างสัมผัสกับอณูความร้อน ไม่ไม่ทำได้ไม่ครับ…”
                ชายหนุ่มเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกลัวจึงเข้าไปกระซิบที่ใบหูของเด็กสาว เด็กดีเชื่อฉันสิเอเลนของฉัน
                คำสุดท้ายที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายออกมามากกว่าปกติทำให้เด็กสาวหลับตาและกลั้นใจอีกครั้ง อ๊ะ เอเลนไม่สามารถเก็บเสียงของตัวเอาไว้ได้เมื่อได้รับสิ่งที่คล้ายเปลวไฟซึ่งพร้อมจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้ ความคับแน่นสอดตัวลึกขึ้นเมื่อเธอทิ้งสะโพกต่ำลงไปเรื่อยๆ
                จนในที่สุด
                ม้าตัวเดิมออกวิ่งอีกครั้งเมื่อได้รับคำสั่งจากการขยับบังเหียน มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มยังคงควบคุมทิศทางการวิ่ง แต่อีกข้างได้ถูกนำมาใช้กอบกุมหน้าอกของเด็กสาวเอาไว้จนเต็มกำมือ ปลายนิ้วหยอกล้อกับเนื้อแน่นที่กระดอนขึ้นลงไปตามการวิ่งของม้า หากเป็นไปได้รีไวก็อยากจะเห็นส่วนปลายยอดที่กำลังชูชันด้วยตาของตัวเอง แต่เอาไว้วันหลังก็ยังไม่สายจนเกินไป
                อะฮ้าอ๊า
                “รู้สึกดีใช่ไหมเอเลนหืม?”
                “อะดะดีครับ
                เด็กสาวหลับตาและเงยหน้าขึ้น ริมฝีปากเผยอออกเพื่อรับอากาสเข้ามาหมุนเวียนภายในเนื่องจากเธอไม่สามารถหายใจตามปกติได้ทัน ร่างกายทุกส่วนเหมือนถูกบังคับให้เคลื่อนไหว ลำตัวสั่นสะเทือนจนแทบจะตกไปจากหลังม้า แต่สะโพกสั่นสะท้านซึ่งถูกยึดติดกับอีกฝ่ายเป็นตัวช่วยประคองเธอเอาไว้
                เอเลนทั้งเจ็บและตื่นเต้นกับความรู้สึกแปลกใหม่ไปพร้อมๆกัน การวิ่งของม้าที่ทำให้ร่างกายเธอลอยขึ้นสูงก่อนจะหล่นลงมากดทับลำเนื้อร้อนที่รออยู่นำพาความปวดแสบปวดร้อนมาให้มากกว่าปกติ แต่แรงกระแทกที่ส่งผ่านมาทางท่อนเนื้อจนทำให้มันพุ่งเข้าไปจนสุดทางก็เป็นอะไรที่เธอไม่สามารถบรรยายออกมาได้เช่นกัน
                แม้จะเป็นแค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจเล็กๆ แต่เอเลนกลับรู้สึกว่าเส้นทางที่พวกตนกำลังมุ่งหน้าไปช่างยาวเหลือเกิน
                อะอะอ๊ะ
                จะไปแล้วนะเอเลน
                “คะ ครับอ๊ะ!”
                ชายหนุ่มกระชากสายบังเหียนส่งผลให้ม้าตัวใหญ่หยุดวิ่งกะทันหัน ส่งผลให้ร่างกายพวกตนถูกเชื่อมจนติดสนิทยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหมือนกับแม่กุญแจและกุญแจที่เข้าคู่กัน รีไวปล่อยสายธารให้หลั่งไหลภายในร่างกายของเด็กสาวจนเต็มเปี่ยม ของเหลวที่มากเกินไปทิ้งตัวลงมาเปรอะเปื้อนไปตามเรียวขา กางเกงชั้นใน กางเกงตัวนอก รวมไปถึงบนลำตัวของม้าด้วยเช่นกัน
                เด็กสาวถูกผลักให้ซุกหน้าลงกับแผงคอของม้าก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆถอนตัวออกไป เอเลนรู้สึกเหนื่อยราวกับเพิ่งวิ่งหนีจากพวกไททันสิบตัวมาอย่างไรอย่างนั้น
                หวังว่าตอนขี่ม้ากลับไปคงจะไม่เจอคุณฮันจิถ้าไม่งั้นก็คงโดนล้อไปจนตายแน่ๆ