花咲く少女
Hana saku Shoujo
-8-
รีไวสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก
เขาไม่ได้ฝันร้าย ไม่ได้ตื่นกลัวพวกไททันข้างนอกเพราะมีการจัดเวรยามที่แน่นหนา
หรือไม่ได้มีนิสัยเหมือนเด็กที่ไม่สามารถนอนคนเดียวได้
ตั้งแต่รีไวจำความได้ตัวเขาก็อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด
ไร้เพื่อนฝูง ไร้ญาติ และไร้ซึ่งที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง สิ่งเหล่านี้เป็นความเคยชินที่ทำให้หัวใจด้านชา
จนวันหนึ่งได้มาพบกับเออร์วินและฮันจินั่นล่ะ…หรือควรจะเรียกว่าคิดผิดที่ได้รู้จักกับคนพวกนี้ดี
ชีวิตในกำแพงนั้นมีแต่เรื่องยุ่งยาก
ความโกลาหลก่อตัวขึ้นทุกวัน
พวกทหารต่างต้องฝึกฝนและพัฒนาตนเองเพื่อให้สามารถรับมือกับพวกไททันได้
แม้พวกมันจะไม่ได้มีการพัฒนาตนเองไปมากกว่าที่ตาเห็น แต่เมื่อมีไททันขนาด 50 เมตรปรากฎขึ้นมา
ความสงบสุขที่ไม่เคยมีจึงบั่นทอนกำลังใจของใครหลายๆคนที่อดทนต่อสู้กับพวกสัตว์ประหลาดข้างนอกนั่น
รีไวไม่เคยแพ้ให้กับไททันตัวไหน
การต่อสู้ระหว่างตัวเขากับสิ่งมีชีวิตอัปลักษณ์ที่พยายามจะปลิดชีวิตมนุษย์นั้นไม่ใช่สิ่งที่ยากหากหมั่นฝึกฝนและค่อยๆเรียนรู้จากคนระดับสูงในหน่วย รีไวไม่ชอบอวดหรือเที่ยวโพทะนาว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น
มีแต่คนรอบข้างที่พยายามจะยกย่องและเชิดชู
เขาไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงมองสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องดีและน่าสรรเสริญ
การฆ่าก็เป็นเพียงการฆ่า ไม่ได้น่าสนใจ หนำซ้ำบางครั้งยังน่าเบื่อ
การที่ต้องตระเวนออกสำรวจและพบกับพวกไททันทุกวันมันไม่ได้น่าพิสมัยนักหรอกนะ
‘หัวหน้ารีไวน่ะเท่มากๆเลยนะ!’
‘ใช่ไหมล่ะ ฉันน่ะอยากเป็นอย่างเขาบ้าง’
‘แต่ติดอย่างเดียวคือชอบทำหน้าตายนี่ล่ะ
แถมยังอารมณ์รุนแรงอีกต่างหาก เลยไม่ค่อยมีใครอยากเข้าใกล้’
‘แกน่ะอย่าพูดเสียงดังไป
เดี๋ยวก็โดนเชือดแบบพวกไททันหรอก’
ใครๆก็มักจะพูดถึงเรื่องการแสดงออกทางสีหน้าของเขา
รีไวไม่คิดว่ามันแปลกตรงไหนกับการที่ตนจะไม่ยิ้ม ไม่หัวเราะ ไม่สุข ไม่ทุกข์
ไม่เศร้า หรือไม่แสดงอาการตอบรับใดๆ
สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของเติมแต่งที่ทำให้เรามัวแต่ลุ่มหลงไปกับมัน
รีไวเคยเห็นด้วยตาตัวเองมาแล้วกับคนที่มัวแต่หลงระเริงในชัยชนะที่ได้มา…แต่ในวินาทีสุดท้ายของชีวิตกลับต้องถูกย้อมไปด้วยสีเลือดของตัวเอง
น่าขำที่ใครๆต่างก็มัวเมาไปกับสิ่งเหล่านั้น
จนในที่สุดก็กลายเป็นความน่าสมเพช
รีไวยันตัวลุกขึ้นนั่งและพิงหลังกับหัวเตียง
ความมืดรอบด้านที่ควบคู่ไปกับความเงียบสงัดไม่ได้ทำให้จิตใจผ่อนคลาย
แต่สัญชาตญาณกลับยิ่งตื่นตัว
โสตประสาทรับเสียงได้ดียิ่งขึ้นมากกว่าตอนกลางวันเสียอีก
นี่ก็คงเป็นความเคยชินอีกอย่างจากเมื่อสมัยที่ต้องประคับประคองเอาชีวิตให้อยู่รอดไปถึงวันถัดไปอยู่ตลอดเวลา
เมื่อได้มองอีกด้านของเตียงที่ว่างเปล่า
รีไวจึงกำมือเอาไว้หลวมๆเพื่อระงับอารมณ์บางอย่างที่ก่อตัวขึ้น
ฝ่ามือยังจำได้ถึงสัมผัสของก้อนเนื้ออ่อนเยาว์ของเด็กสาว มันอวบอิ่ม
สีชมพูสวยสดก็น่าจับต้องยิ่งกว่าอะไร แต่สิ่งที่ทำให้ตนลืมทุกอย่างรอบตัวไปจนหมดนั้นคงหนีไม่พ้นใจกลางของหุบเหวลึกที่ส่งกลิ่นหอมหวานเหมือนดอกไม้
ภาพเรียวขาที่ตั้งชันขึ้นบนโต๊ะในห้องครัวยังคงทำให้รีไวรู้สึกตื่นตัวแม้ในยามหลับ
สะโพกมนของเด็กสาวสั่นระริกเมื่อรีไวใช้นิ้วของตนลากไล้ไปตามเรียวขา ไม่นานนักกลีบของดอกไม้สาวก็แย้มบานเหมือนดอกทานตะวันท่ามกลางแสงแดดอันร้อนแรง
ทำให้แม้อยากจะทำรุนแรงแค่ไหนแต่ตนก็ต้องระงับอารมณ์เอาไว้
รีไวได้สัมผัสตรงส่วนนี้มาแล้วไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
มันน่าจะเป็นความเบื่อหน่ายและไม่ควรมีความรู้สึกใดๆเกิดขึ้นอีกเมื่อได้เห็นสิ่งเหล่านี้
แต่ทุกอย่างกลับตรงกันข้าม เขาอยากจะเข้าไปสำรวจในบริเวณนี้ให้ละเอียดมากขึ้นเหมือนๆกับที่ต้องออกไปตรวจความเรียบร้อยด้านนอกนั่น
‘อะ…หัวหน้า…อ๊ะ!’
‘ฉันบอกให้เรียกว่ายังไง จำไม่ได้หรือไง?’
‘หะ..ระ..รีไว’
‘เรียกอีกสิ’
‘รีไว..รีไว’
เสียงเรียกชื่อนั่นแทนที่จะน่ารำคาญเหมือนเวลาได้ยินจากปากคนอื่น
แต่มันกลับให้ความรู้สึกที่แตกต่าง เขาอยากจะฟังคนตรงหน้าเรียกชื่อตนไปอีกเรื่อยๆ
ไม่อยากให้ริมฝีปากเล็กๆนั่นหยุดเอ่ยชื่อของตนออกมา
เอเลน
เยเกอร์เป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมสำรวจ
แต่มีความโดดเด่นจนน่าตกใจนับตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เจอกัน แววตาที่แข็งกร้าวและดุดันซึ่งมาพร้อมกับความทะเยอทะยานทำให้ใครหลายคนอดจะชื่นชมไม่ได้
โดยเฉพาะยัยฮันจิ
ทว่ามันช่างขัดกับรูปร่างหน้าตาที่ดูแล้วน่าจะสู้กับพวกไททันได้ไม่เกินสิบวินาที
‘ผมชื่อเอเลน เยเกอร์ครับ’
‘ผมรู้แค่ว่าอยากฆ่าพวกไททันให้หมดไปจากโลกใบนี้ด้วยมือของตัวเอง’
‘ได้โปรดเถอะครับ!’
ความคิดแรกที่ตนมีต่อเด็กหนุ่มคนนี้คืออีกฝ่ายช่างน่าขัน
อายุยังน้อย ฝีมือก็ยังไม่มี แต่อยากจะฆ่าพวกไททันจนแทบทนไม่ไหว
แม้จะมีความหลังเกี่ยวกับเรื่องของแม่
แต่รีไวคิดว่าใครๆต่างก็มีความทรงจำอันเลวร้ายด้วยกันทั้งนั้น ทว่าเด็กคนนี้ก็ยังคงมีปณิธานที่จะก้าวไปข้างหน้าถึงแม้จะฝึกและต่อสู้กับพวกไททันแบบล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
ระหว่างการสอดประสานร่างกายของตนและเอเลนเข้าด้วยกัน
รีไวก็สังเกตว่าสีหน้าและดวงตาของอีกฝ่ายยังคงแสดงถึงความมุ่งมั่น
ถึงจะโดนแกล้งโดยที่เขาหยุดเคลื่อนไหวกลางคัน หรือทำให้ทรมานด้วยการหยอกเย้า
เอเลนก็ยังคงเป็นเอเลนคนเดิม
เพราะอะไร…ถึงได้มีแววตาเข้มแข็งขนาดนั้น
ตอบฉันสิ เอเลน เยเกอร์
“เอ๋
ขี่ม้า?”
“ใช่แล้ว รีไวให้ฉันมาชวนน่ะ ปากหนักจริงๆเลยนะหมอนั่น”
เอเลนสับสนและมึนงงกับความคิดแบบปุบปับของหัวหน้ารีไวเป็นอย่างมาก
เธอที่กำลังเดินมายังห้องส่วนกลางเพื่อหวังจะมาหาหนังสืออ่านได้พบกับคุณฮันจิเข้าพอดี
อีกฝ่ายยิ้มทักทายก่อนจะเปิดปากบอกเรื่องที่ทำให้ต้องตาโตยิ่งกว่าไข่ห่าน
“จะ
จริงเหรอครับคุณฮันจิ!?”
แม้จะดูเสียมารยาทกับการใช้เสียงดังเกือบเท่าการตะโกนในการถาม
แต่ก็อดไม่อยู่จริงๆ
“จริงแท้แน่นอนเลยล่ะ
ขอเอาพวกไททันข้างนอกนั่นเป็นประกัน”
“แต่ว่า…เมื่อวานหัวรีไวเขา…” เมื่อวานอีกฝ่ายยังบอกว่าห้ามออกไปไหนอยู่เลยนี่นา
“อ๋อ
ที่บอกว่าห้ามออกไปข้างนอกน่ะเหรอ รีไวคงหมายถึงถ้าออกไปคนเดียวก็ห้ามไป
แต่ถ้าออกไปกับหมอนั่นล่ะก็ไม่มีปัญหา”
คุณฮันจิพูดราวกับรู้ใจของใครอีกคนที่ปรากฎชื่อไม่ได้อยู่ในวงสนทนา
แต่พอเอเลนคิดตามก็พบว่าสมเหตุสมผลไม่น้อย
ยิ่งคิดว่าจะได้ออกไปข้างนอกก็ยิ่งตื่นเต้นจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
ในที่สุดก็จะได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เสียที
ว่าแต่…ทำไมอยู่ดีๆหัวหน้ารีไวถึงใจดีขึ้นมานะ? แล้วทำไมต้องขี่ม้าด้วย?
ฮันจิเห็นอีกฝ่ายนิ่งไปก็คิดว่าอาการป่วยอาจจะกำเริบจึงรีบวิ่งเข้าไปหมายจะเอามืออังหน้าผาก
แต่เด็กสาวดันก้าวถอยหลังด้วยความตกใจจากการจู่โจม
จึงเป็นเหตุให้ล้มร่วงลงไปกองกับพื้นทั้งคู่
“โอย…ขอโทษด้วยนะเอเลน”
ฮันจิรีบลุกขึ้นเพราะกำลังนั่งทับอีกฝ่ายอยู่
พร้อมขอโทษขอโพยที่พุ่งเข้ามาหาแบบกะทันหัน
แต่ความรู้สึกแปลกๆบางอย่างที่สัมผัสได้ทำให้คิ้วขมวด
เอเลนที่นอนขยับเขยื้อนไปไหนไม่ได้มองคนด้านบนที่นิ่งไป
“มะ มีอะไรเหรอครับคุณฮันจิ?”
“นะ…”
“นะ…?”
หรือว่าคุณฮันจิจะเจ็บที่หน้า
“นะ…หน้าอก…ไม่มีเลย”
“อะไรนะครับ…อ๊ะ!?”
เอเลนรีบเอามือของตัวเองไปตะครุบมือทั้งสองข้างของหญิงสาวที่นั่งทับตนอยู่
เพราะสาวเจ้ากำลังล้วงมือเข้ามาในเสื้ออย่างอุกอาจ
แม้จะเป็นผู้หญิงด้วยกันแต่เอเลนก็ไม่ก็รู้สึกมันดูไม่ปลอดภัยอยู่ดี
เพราะคุณฮันจิน่ะ... ไม่ใช่แค่จับธรรมดา
แต่ทั้งบีบทั้งขยำ แถมพลิกไปมาราวกับจะเลือกเนื้อหมูอย่างไรอย่างนั้น
และมือไว้ซะจนรู้ตัวอีกที่ผ้าที่รัดแผ่นอกอยู่ก็อันตรธานหายไปแล้ว
ดวงตาสีเขียวมรกตเบิกกว้าง มองอีกฝ่ายที่ส่งเสียง ‘ฮุฮิ’
พร้อมโบกผ้าในมือที่ชิงไปจากเธอได้
“ไม่ต้องรัดหน้าอกไปขี่ม้ากับรีไวหรอกน่า
ไม่มีใครเห็นหรอก แถมเผื่อถ้าสายบังเหียนเกิดหล่นขึ้นมา
รีไวจะได้มีอย่างอื่นให้จับ”
พอพูดจบหญิงสาวก็หัวเราะเสียงดังและวิ่งออกไปจากห้อง
แต่ยังไม่วายจะหันมาบอกทิ้งท้าย “รออยู่ที่นี่นั่นล่ะ
เดี๋ยวอีกสักพักรีไวจะมาพาไป” คนช่างแกล้งทิ้งเด็กสาวให้อยู่ในห้องกับแผนที่และกระดาษร่างแผนการปราบไททันบนโต๊ะ
เอเลนมองซ้ายมองขวาพร้อมยกแขนขึ้นมากอดอกเพื่อหวังจะปกปิดรอยนูนบนเสื้อตัวบาง
แต่ทำยังไงก็ปิดได้ไม่มิด
คุณฮันจิก็ไวยิ่งกว่าลม
จะไปตามเอาผ้ารัดหน้าอกคืนก็กลัวคนอื่นจะเห็น
ถ้าเจอหัวหน้าเออร์วินหรือหัวหน้ารีไวก็ดีไป แต่ถ้าเจอคนอื่นมีหวังความแตกแน่
คงได้แต่ต้องรออยู่ในห้องนี้
ว่าแต่…สายบังเหียนมันจะหล่นได้ยังไงล่ะครับคุณฮันจิ!
แล้วอีกอย่าง.....
อย่างอื่นให้จับที่ว่านี่คงไม่ได้หมายถึง...
เอเลนอดไม่ได้ที่จะก้มลงมองหน้าอกตัวเองที่ดุนดันเสื้อเนื้อบางออกมา
จนเห็นปลายยอดรำไร ใบหน้านวลแดงก่ำขึ้นมาแทบจะในทันทีก่อนจะส่ายหน้ารัวๆ
ไล่ความคิดประหลาดๆ ออกไป
ม่ะ...คงไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า!!
ดังนั้นจึงรู้สึกประหม่าขึ้นมาซะเฉยๆ
ยามที่ต้องมานั่งอยู่บนม้าตัวเดียวกันกับหัวหน้า
ครั้งแรกที่พูดถึงการ
'ขี่ม้า' ภาพที่ผุดขึ้นมาในหัวของเธออยู่ตัวเองขี่ม้าตามอีกฝ่ายเช่นที่เคยออกไปทำภารกิจด้วยกัน
ฉะนั้นถึงจะมีคำพูดแปลกๆ ของคุณฮันจิชวนให้คิดลึกพอนั่งสักพักมันก็ค่อยๆ
เลือนหายไป แทนที่ด้วยความตื่นเต้นที่จะได้ออกไปข้างนอกแทน
แต่ไหนแต่ไรเธอก็ชอบที่กลางแจ้งมากกว่าอุดอู้อยู่ในที่แคบๆ
สายลมเย็นสบาย
และแสงแดดอ่อนๆ กำลังดีของยามสาย
สีครามของผืนฟ้าตัดกับปุยเมฆสีขาวสะอาดที่ลอยเอื่อยๆ
ปลอดโปร่ง....
และเป็นอิสระ
ทำให้นึกถึงความปรารถนาแรกสุดที่มีในตอนเด็กขึ้นมาได้
เธออยากมีปีก...
ปีกแห่งอิสระที่โผบินข้ามผ่านกำแพงสูงชัน ล่องลอยอยู่บนฟ้าอย่างเสรี
ไม่ต้องกลัวไททัน
ไม่ต้องคิดถึงเรื่องอื่นใด
"เหม่ออะไร? ส่งมือมาสิ เอเลน"
เสียงทุ้มต่ำดังขัดภวังค์ความคิด
เอเลนมองมือที่ยื่นมาด้วยความสงสัย ก่อนจะเข้าใจแจ่มแจ้งในทันที
เมื่อมองตะแคงซ้ายตะแคงขวาอย่างไร ก็ไม่เห็นม้าตัวอื่นแม้แต่น้อย
"จะให้ผมขึ้นม้าตัวเดียวกับหัวหน้า...เหรอครับ?"
คิ้วเรียวขมวดหม่นคล้ายกับจะบอกว่า
'แล้วแกมีปัญหาหรือไง?' ดวงตาสีเทาคมกริบจ้องเขม็ง
หากเอเลนที่ปกติจะทำตามคำสั่งอีกฝ่ายอย่างไม่บิดพลิ้วกลับละล้าละลัง
ไม่ว่าจะซ้อนอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง...
นะ...หน้าอกที่มีเพียงผ้าผืนบางๆ
กั้นอยู่ที่มันก็ต้องโดนอีกฝ่ายอยู่แล้วน่ะสิ!!
"ผะ..ผม
ผมว่าผมไปหาม้าตัวอื่นมาอีกดีกว่าครับ ต่างคนต่างขี่จะคล่องตัวกว่า"
เด็กสาวตัดสินใจเองทันที
แม้จะรู้สึกเสียววาบๆ กับบรรยากาศที่เย็นเยียบลงทุกขณะ
และก่อนที่จะได้หมุนกายไปที่ตั้งใจไว้ มือของอีกฝ่ายก็ผละจากบังเหียนที่ถือครองไว้
เรี่ยวแรงมหาศาลกระชากร่างทั้งร่างของเธอขึ้นเป็นนั่งปุ๊ตรงหน้าตักหัวหน้าพอดิบพอดี
แม้จะไม่แรงมาก...
แต่ก็แรงพอที่จะทำให้จุกพอควร
เหมือนอะไรบางอย่างในตัวกระแทกและกลิ้งไปมาในช่องท้อง
หากท่อนแขนที่สอดรองเข้ามาใต้ฐานอก
ยามจับบังเหียนเล่นเอาสะดุ้งเฮือกจนลืมสิ่งที่คิดอยู่ถึงเมื่อครู่ไปถนัด
“ไม่ได้รัดหน้าอกสินะ
จงใจหรือไง”
เอเลนเม้มปากแน่นด้วยความอาย
ก่อนจะกลั้นใจตอบไป
“ปะ..เปล่านะครับ
เพราะคุณฮันจิต่างหากล่ะครับ!”
บานประตูหนาหนักของป้อมปราการเปิดออกอย่างช้าๆ
เสียงของประตูที่ครูดไถไปกับพื้นดังเสียจนต้องเงยหน้ามองดู
กลิ่นของสายลมลอยฟุ้งมาต้องโสตประสาท
พร้อมกับลมหอบใหญ่ที่โกยกลิ่นของต้นหญ้าและดอกไม้หอมชื่นใจมาด้วย
แม้จะเป็นภาพที่เคยเห็นแล้วก็ตาม...
แต่ทุ่งหญ้าสีเขียวขจีของกอหญ้ากว้างไกลไปจนแทบสุดสายตา กำลังลู่ไหวไปตามสายลมและเปล่งประกายด้วยสีของแดดจากดวงตะวันที่ส่องผ่านชั้นเมฆลงมา
ราวกับภาพในหนังสือเก่าๆ
ที่เคยเห็น
รอยยิ้มสดใสร่าเริงแย้มกว้างขึ้นอย่างยินดี
ผิดกับใบหน้าหม่นหมองที่เห็นมาหลายวัน
....ดีแล้วที่เชื่อยัยสี่ตานั่น
นานๆ ครั้งหัวสมองของยัยนั่นก็ใช้การณ์เรื่องอื่นนอกจากเรื่องไททันขึ้นมาได้เหมือนกัน
กีบม้าหนุ่มตัวใหญ่เยื้องเหยียบไปตามทางลูกรังด้วยความเร็วที่คงที่
ไม่ได้เร่งร้อนหรือควบทะยานเช่นเวลาปฎิบัติภารกิจ
เปิดโอกาสให้ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ที่สวยงามและเงียบสงบของธรรมชาติได้อย่างเต็มที่
ทุกสิ่งล้วนแปลกตาไปหมดสำหรับเอเลนที่เติบโตมาในเชตชิกันชินะที่เต็มไปด้วยบ้านของผู้คนและสิ่งปลูกสร้างอำนวยความสะดวกต่างๆ
จะต้นไม้หรือทุ่งหญ้ากว้างๆ
มีอาณาเขตเพียงน้อยนิด ซึ่งควรเรียกว่า ‘สวน’
มากกว่าทุ่ง
แก้วตาสีมรกตทอประกายระยิบระยับ
ลืมสิ้นว่าท่าที่ตัวเองเป็นอยู่แทบจะเกยบนตักของใครรอมร่อ
ซ้ำยังตื่นเต้นจนอยู่ไม่สุขขยับตัวไปมา
สะโพกเพรียวเสียดสีกับหน้าขาของเขา
ข้างหน้าก็มีก้อนเนื้อนุ่มหยุนกระเด้งกระดอนไปมาบนท่อนแขน
หากเป็นคนอื่น...
รีไวคงคิดว่าแสร้งทำเป็นดีอกดีใจและยั่วยวนตนอยู่อย่างแน่นอน
แต่ดวงตาใสซื่อที่สะท้อนเพียงภาพทุ่งหญ้าเบื้องหน้านั่น
มีเพียงความร่าเริงและตื่นเต้นที่ตัวเองได้ออกมาข้างนอกเท่านั้น ความไร้จริตจะก้านและไม่ระวังตัวที่บ่งบอกถึงความไร้เดียงสาคล้ายความอายที่มีแต่แรกถูกปัดเป่าหายไปเพียงสายลมหอบหนึ่งนั่นอีก
เล่นเอาอดมันเขี้ยวขึ้นมาไม่ได้ แต่เดิมแค่คิดจะพาออกมาจากป้อมและให้ออกมาสูดอากาศบริสุทธิ์เท่านั้น
เห็นทีคงปล่อยไปเฉยๆ ไม่ได้ซะแล้ว
รีไวก้มเอนตัวไปด้านหน้าก่อนจะเอาคางเกยกับไหล่คนที่นั่งมองธรรมชาติอย่างเพลิดเพลิน
กลิ่นความหอมจากตัวอีกฝ่ายทำให้เผลอสูดดมครั้งแล้วครั้งเล่า จนเจ้าของลำคอพยายามจะขยับตัวออก
เขาฝังเขี้ยวลงไปบนนั้นขาวอย่างไม่แรงนัก
“หะ
หัวหน้า!” เด็กสาวร้องขึ้นมาก่อนจะดิ้นขลุกขลัก
“มีอะไรงั้นเหรอ…” รีไวยังคงใช้ริมฝีปากไต่ไปตามช่วงลำคอของอีกฝ่าย
เพื่อหวังจะให้เกิดปฏิกิริยาตอบรับที่มากขึ้น
เอเลนหน้าร้อนจนหยุดไม่อยู่ สถานที่แห่งนี้เปิดโล่ง
แม้จะไม่มีใครอยู่ใกล้ๆพวกตนแต่การทำแบบนี้ในที่สาธารณะก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเธอ
เด็กสาวพยายามขืนตัวเอาไว้ก่อนที่เลยเถิดไปมากกว่านี้
แต่นอกจากคนที่นั่งซ้อนหลังเธออยู่จะไม่ยอมหยุดง่ายๆแล้ว
เขายังเพิ่มแรงบดเบียดร่างกายเข้ามามากขึ้น
เด็กสาวรู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งบางอย่างกำลังดุนดันช่วงล่างของสะโพกตนอยู่
ทั้งๆที่เมื่อครู่ยังไม่มีอะไรแท้ๆ…แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับยิ่งปะทุหนักขึ้น
หนทางหนีรอดของเธอก็เป็นศูนย์ เพราะคงไม่ดีแน่หากจะกระโดดลงจากหลังม้าเพื่อหนีคนๆนี้แล้วต้องแลกมาด้วยอาการกระดูกหัก
รีไวปล่อยมือข้างขวาของตนออกจากบังเหียน
ฝ่ามือทาบไปบนต้นขาอีกฝ่ายก่อนจะไล่ไปตามแนวที่นำพาไปสู่ใจกลาง นิ้วมือแตะที่จุดสัมผัสผ่านร่มผ้า
ชายหนุ่มเค้นคลึงและกดย้ำที่เนื้อผ้าแรงสลับเบา
ท่อนแขนของตนถูกมือของคนที่นั่งด้านหน้าจับเอาไว้เป็นหลักยึด
เสียงครางจากเด็กสาวเริ่มดังออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ
“อะ…ไม่…เดี๋ยวจะ…มีคนเห็น”
ยิ่งได้ยินคำพูดที่แสดงถึงความกลัว ชายหนุ่มจึงใส่แรงลงไปมากขึ้น
ปลายนิ้วเลื่อนขึ้นมาด้านบนก่อนจะแทรกเข้าไปในกางเกงที่อีกฝ่ายสวมใส่
สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือสัมผัสของไรขนอ่อนที่เป็นไปตามวัย ตามมาด้วยกลีบดอกไม้อ่อนนุ่มที่กำลังตื่นตัว
รีไวทักทายมันด้วยการบีบเบาๆ ของเหลวบางส่วนจึงเคลื่อนตัวออกมาตามแรงกระตุ้น
เอเลนไม่อยากทุกอย่างเกินเลยมากไปกว่านี้จึงพยายามดึงมืออีกฝ่ายออก
แต่พอทำอย่างนั้นมากเข้าผู้เป็นหัวหน้าก็ดูจะโกรธ
เพราะปลายนิ้วที่กำลังปัดป่ายไปทั่วบริเวณได้หยุดการเคลื่อนไหวลง
มือขวาถูกถอนออกมาจากด้านในก่อนที่ใบหน้าของเธอจะถูกมือข้างเดียวกันจับให้หันไปด้านหลัง
จูบอันเร่าร้อนบดเบียดลงมาอย่างไม่ให้มีการเตรียมตัวเตรียมใจ
“อะ…อื้อ…”
“ถ้ายิ่งขัดขืน จะยิ่งเจ็บนะเอเลน เยเกอร์”
เด็กสาวตอบรับการรุกเร้านั้นด้วยปลายลิ้น
สมองขาวโพลนลืมเลือนซึ่งทุกสิ่ง
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอรู้และกำลังปฏิบัติอยู่ได้คนๆนี้เป็นผู้สอน
เธอต้องรู้จักตอบสนอง ต้องรู้จักโอนอ่อน และต้องรู้จักจังหวะที่ดีที่สุด
เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามความต้องการของอีกฝ่าย
ถ้าขัดขืน…ก็จะเจ็บจนไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้
แต่ถ้าทำตามที่อีกฝ่ายสั่ง…เธอจะได้รางวัลเป็นสิ่งตอบแทน
รางวัลที่ว่าก็คือ…
“อ๊ะ!”
มือของคนที่จูบเธออยู่กลับไปสู่ตำแหน่งเดิมตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่อาจรู้ได้
แต่ตอนนี้นิ้วทั้งห้ากำลังทำหน้าที่เหมือนเช่นที่เคยทำ พื้นผิวเนื้ออ่อนเบียดตัวเข้าหาปลายนิ้วที่กำลังหยั่งเชิงอยู่ไม่ห่าง
เอเลนเผลอแอ่นตัวไปด้านหลังเพื่อใจกลางลำตัวให้แนบชิด “อา…รี…รีไว”
เจ้าของชื่อยิ้มออกมาเพราะพึงพอใจในคำเรียกหา ชายหนุ่มส่งปลายนิ้วเข้าไปในประตูแห่งความเยาว์วัยที่เปิดออกกว้าง
นิ้วเรียวสอดประสานไปกับดอกไม้งามที่กำลังบานสะพรั่ง
ดอกตูมซึ่งกำลังเผยอตนทำให้ง่ายต่อการรุกคืบไปตามเส้นทาง ผู้บุกรุกถอยหลังและเดินหน้า สลับไปมาอย่างที่เคยเป็น
เอเลนกระสับกระส่าย
ถึงแม้อีกฝ่ายจะทำเหมือนทุกครั้ง
แต่แรงที่ไม่มากพอทำให้เธอไม่สามารถปลดปล่อยความอึดอัดภายในตัวออกไปได้จนหมด ประกอบกับการที่กลัวใครจะผ่านมาเห็นก็ยิ่งทำให้ไม่สบายใจจนไม่อาจแสดงอารมณ์ได้มากเท่าที่ต้องการ
ผ่านไปไม่นาน ผู้ที่กำสายบังเหียนก็สั่งให้ม้าหยุด
เด็กสาวหอบหายใจและหันหลังไปมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
ถ้าหัวหน้ารีไวจะหยุดเพียงเท่านี้เธอก็โล่งอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม…หัวหน้ารีไวก็คือหัวหน้ารีไวอยู่วันยังค่ำ
“ยกสะโพกขึ้นแล้วถอดกางเกงสิเอเลน”
“เอ๋?”
เอเลนรู้สึกตกใจกับคำสั่งนั้น ถะ…ถอดกางเกงเนี่ยนะ!? หัวหน้ารีไวเป็นอะไรไปแล้ว!? ถ้าจะให้มาถอดกางเกงกลางทุ่งแบบนี้ล่ะก็…ล่ะก็…เขายอมตายดีกว่า
“จะถอดเองหรือจะให้ฉันถอดให้?”
“ถะ ถอดเองครับ!”
…ยังไงเธอก็ขัดขืนอะไรที่คนๆนี้สั่งไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
หลังจากนี้ค่อยกระโดดไปกลางวงล้อมของพวกไททันแล้วให้พวกมันกินก็แล้วกัน
เด็กสาวยันมือบนแผงคอของม้า
แม้จะรู้สึกอายแค่ไหนแต่ถ้าให้อีกฝ่ายเป็นคนถอดให้ก็คงจะแย่เข้าไปใหญ่
ทว่าดูเหมือนจะไม่ทันผู้ออกคำสั่ง
สะโพกของเธอจึงถูกจับแน่นและถูกยกลอยขึ้นสูงจากลำตัวม้าพอสมควร
“หะ…หัวหน้าครับ!”
“รีบๆถอดสิ มัวรออะไรอยู่”
เมื่อถูกสั่งให้รีบ
เด็กสาวจึงหลับตากลั้นใจปลดกระดุมกางเกงออก
จากนั้นจึงเลื่อนปราการด่านแรกออกไปให้พ้นสะโพก ผ้าสีขาวหล่นไปกองตรงขา
ตอนนี้เธอมีเพียงกางเกงชั้นในที่ใช้ปกปิดความลับแห่งหญิงสาวเอาไว้
รีไวมองบั้นท้ายกลมกลึงที่ขาวเนียนไปทุกตารางนิ้ว
เขาใช้ปลายนิ้วลูบไล้บนเนื้อแน่นที่ไร้รอยขีดข่วนใดๆแล้วจึงนึกสงสัยว่าเหตุใดอีกฝ่ายจึงสามารถผ่านการฝึกหฤโหดมาได้โดยไร้รอยตำหนิ
แต่ถึงคิดหาเหตุผลไปก็คงไม่ได้อะไรกลับมา…เพราะเอเลน
เยเกอร์มักจะมีความลับที่น่าค้นหาซ่อนอยู่เสมอ
“อะ…อุก!”
เด็กสาวหน้าคว่ำลงไปขนบนแผงคอของม้าอย่างไม่ทันตั้งตัว
เพราะสะโพกของตนถูกยกขึ้นให้สูงกว่าเดิม เอเลนใช้แขนกอดคอกว้างของม้าไว้แน่นเนื่องจากกลัวจะหล่นลงไป
ขณะที่กำลังจะหันไปถามถึงเหตุผลกับคนข้างหลัง ความเปียกชื้นที่กำลังแตะลงบนผิวเนื้อของเธอโดยตรงก็ทำให้ลืมคำพูดทุกอย่างไปจนหมด
การหาเหตุผลกับหัวหน้ารีไว…คงเป็นยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
รีไวไม่ได้ถอดกางเกงชั้นในของเด็กสาวออก
แต่ได้ดึงเนื้อผ้าซึ่งกำลังเปียกชื้นที่พาดผ่านกึ่งกลางลำตัวของอีกฝ่ายออกไป
ส่วนของชั้นในที่ถูกดึงรั้งออกมาเผยให้เห็นส่วนล่างของเนินเนื้อที่มีสีเข้มขึ้นจากแรงกระตุ้น
กลีบดอกที่หุบเข้าก่อนจะเผยอออกในวินาทีถัดทำให้ชายหนุ่มอดไม่ได้ที่จะส่งปลายลิ้นไปชิมรสชาติของน้ำหวานที่เพิ่งผลิตออกมา
เอเลนอยากจะร้องไห้ด้วยความอาย
เธอไม่เคยขนาดนี้มาก่อน หากใครมาเห็นภาพตอนนี้ก็คงจะต้องตกใจจนแทบสิ้นสติ
ทั้งร่างกายช่วงล่างที่เปลือยเปล่า
ทั้งสะโพกที่ถูกยกสูงจนเหมือนเป็นเธอเสียเองที่เสนอตัวให้ ทั้งหัวหน้ารีไวที่กำลังชะโงกหน้าเข้ามาในส่วนที่ควรจะเป็นความลับของเธอ
และทั้งยังอีกสารพัด
…ซึ่งแน่นอนว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นบนหลังม้าตัวหนึ่ง
“อือ…อะ…ไม่…”
“ไม่เอาแบบนี้ก็ได้”
เด็กสาวคิดว่าหัวหน้าของเธอคงจะเข้าใจความหมายของคำว่าไม่ผิดไปแน่นอน
เพราะหลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้ยินเสียงเหมือนอีกฝ่ายกำลังจัดการอะไรกับตัวเอง
ซึ่งพอเธอก้มมองลอดผ่านช่องว่างไปจึงได้รู้คำตอบว่าเธอและเขากำลังจะเป็นหนึ่งเดียวกันอีกครั้ง
รีไวมองสภาพร่างกายของตนที่พร้อมแล้วสำหรับขั้นตอนต่อไป
ผิวเนื้อตรงใจกลางที่เปรอะเปื้อนของคนตรงหน้าเองก็แสดงให้เห็นว่ากำลังรออยู่เช่นกัน
แม้เด็กสาวจะหลับตาพร้อมกับเม้มปากแน่นเหมือนจะไม่เต็มใจ…แต่จะให้มาหยุดอยู่ตรงนี้ก็คงไม่ได้แล้ว
“นั่งลงมาสิเอเลน”
คำสั่งที่เท่าไหร่ไม่รู้ แต่ดูจะยากที่สุดในบรรดาคำสั่งทั้งหมดของวันนี้ทำให้เด็กสาวถึงกับต้องกลั้นหายใจ
“มะ มันเจ็บ…”
“ค่อยๆนั่งลงมาสิ
ฉันจะช่วยเอง” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงเพื่อหวังจะคลายความกลัวให้
เอเลนสูดลมหายใจเข้าออกอยู่สองสามครั้งจากนั้นจึงย่อตัวลง
สะโพกค่อยๆลดต่ำไปตามแรงนำของฝ่ามือใหญ่ การเคลื่อนไหวหยุดชะงักเมื่อส่วนล่างสัมผัสกับอณูความร้อน
“ไม่…ไม่ทำได้ไม่ครับ…”
ชายหนุ่มเห็นสีหน้าที่แสดงออกถึงความกลัวจึงเข้าไปกระซิบที่ใบหูของเด็กสาว
“เด็กดี…เชื่อฉันสิ…เอเลนของฉัน”
คำสุดท้ายที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกของอีกฝ่ายออกมามากกว่าปกติทำให้เด็กสาวหลับตาและกลั้นใจอีกครั้ง
“อ๊ะ”
เอเลนไม่สามารถเก็บเสียงของตัวเอาไว้ได้เมื่อได้รับสิ่งที่คล้ายเปลวไฟซึ่งพร้อมจะแผดเผาเธอให้มอดไหม้
ความคับแน่นสอดตัวลึกขึ้นเมื่อเธอทิ้งสะโพกต่ำลงไปเรื่อยๆ
จนในที่สุด
ม้าตัวเดิมออกวิ่งอีกครั้งเมื่อได้รับคำสั่งจากการขยับบังเหียน
มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มยังคงควบคุมทิศทางการวิ่ง
แต่อีกข้างได้ถูกนำมาใช้กอบกุมหน้าอกของเด็กสาวเอาไว้จนเต็มกำมือ
ปลายนิ้วหยอกล้อกับเนื้อแน่นที่กระดอนขึ้นลงไปตามการวิ่งของม้า
หากเป็นไปได้รีไวก็อยากจะเห็นส่วนปลายยอดที่กำลังชูชันด้วยตาของตัวเอง แต่เอาไว้วันหลังก็ยังไม่สายจนเกินไป
“อะ…ฮ้า…อ๊า”
“รู้สึกดีใช่ไหมเอเลน…หืม?”
“อะ…ดะ…ดีครับ”
เด็กสาวหลับตาและเงยหน้าขึ้น
ริมฝีปากเผยอออกเพื่อรับอากาสเข้ามาหมุนเวียนภายในเนื่องจากเธอไม่สามารถหายใจตามปกติได้ทัน
ร่างกายทุกส่วนเหมือนถูกบังคับให้เคลื่อนไหว
ลำตัวสั่นสะเทือนจนแทบจะตกไปจากหลังม้า แต่สะโพกสั่นสะท้านซึ่งถูกยึดติดกับอีกฝ่ายเป็นตัวช่วยประคองเธอเอาไว้
เอเลนทั้งเจ็บและตื่นเต้นกับความรู้สึกแปลกใหม่ไปพร้อมๆกัน
การวิ่งของม้าที่ทำให้ร่างกายเธอลอยขึ้นสูงก่อนจะหล่นลงมากดทับลำเนื้อร้อนที่รออยู่นำพาความปวดแสบปวดร้อนมาให้มากกว่าปกติ
แต่แรงกระแทกที่ส่งผ่านมาทางท่อนเนื้อจนทำให้มันพุ่งเข้าไปจนสุดทางก็เป็นอะไรที่เธอไม่สามารถบรรยายออกมาได้เช่นกัน
แม้จะเป็นแค่สถานที่พักผ่อนหย่อนใจเล็กๆ แต่เอเลนกลับรู้สึกว่าเส้นทางที่พวกตนกำลังมุ่งหน้าไปช่างยาวเหลือเกิน
“อะ…อะ…อ๊ะ”
“จะไปแล้วนะ…เอเลน”
“คะ ครับ…อ๊ะ!”
ชายหนุ่มกระชากสายบังเหียนส่งผลให้ม้าตัวใหญ่หยุดวิ่งกะทันหัน
ส่งผลให้ร่างกายพวกตนถูกเชื่อมจนติดสนิทยิ่งกว่าครั้งไหนๆเหมือนกับแม่กุญแจและกุญแจที่เข้าคู่กัน
รีไวปล่อยสายธารให้หลั่งไหลภายในร่างกายของเด็กสาวจนเต็มเปี่ยม ของเหลวที่มากเกินไปทิ้งตัวลงมาเปรอะเปื้อนไปตามเรียวขา
กางเกงชั้นใน กางเกงตัวนอก รวมไปถึงบนลำตัวของม้าด้วยเช่นกัน
เด็กสาวถูกผลักให้ซุกหน้าลงกับแผงคอของม้าก่อนที่อีกฝ่ายจะค่อยๆถอนตัวออกไป
เอเลนรู้สึกเหนื่อยราวกับเพิ่งวิ่งหนีจากพวกไททันสิบตัวมาอย่างไรอย่างนั้น
หวังว่าตอนขี่ม้ากลับไปคงจะไม่เจอคุณฮันจิ…ถ้าไม่งั้นก็คงโดนล้อไปจนตายแน่ๆ