วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

-KnB Fic-the Phantom Death- Scene : 02 -







บทที่ 2
Think Of Me



 คุโรโกะ เท็ตสึยะเป็นเด็กกำพร้า หรือให้เจาะจงกว่านั้นคือเพิ่งเป็น 'เด็กกำพร้า' เนื่องจากไม่กี่สัปดาห์ก่อน เจ้าตัวยังอาศัยอยู่กับมารดาในบ้านหลังเล็กๆ ที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากโรงละครเท่าไหร่นัก
แน่นอน... หญิงสาวทำงานที่นี่เช่นกัน เธอเป็นนักไวโอลินมือดี หนึ่งในวงดนตรีประสานเสียงของโรงละคร ไม่มีใครไม่รู้จักเธอ หญิงสาวร่างบางที่มีเส้นผมและนัยน์ตาสีฟ้าอ่อนบรรยากาศรอบตัวเลือนราง จับต้องไม่ได้ราวกับน้ำค้างที่เหือดหายไปยามต้องแสงตะวัน
 ...คุโรโกะ เซ็ตสึนะที่ทุกคนรู้จัก....
แม้จะจืดจางไม่โดดเด่น... แต่กลับไม่อาจลืม
เด็กหนุ่มมองภาพมารดาในล็อกเก็ตซึ่งได้รับมาจากเจ้าตัว

ภาพถ่ายขาวดำไม่มีสีสัน แต่เขากลับรู้สึกได้ถึงความมีชีวิตชีวาจากหญิงสาวที่ส่งยิ้มมา
"หมู่นี้นายอยู่ดึกทุกวันนี่ คุโรโกะ" ผู้ดูแลความเรียบร้อยของโรงละคร มิโดริมะ ชินทาโร่เอ่ยถาม น้ำเสียงราบเรียบ ฟังไม่ออกว่ารู้สึกเช่นไรขณะใช้แววตาสีเขียวที่จ้องมองลงมาเหนือหัว
ดวงตาสีฟ้าอ่อนกะพริบปริบๆ ทีหนึ่ง ก่อนพยักหน้ายอมรับ ร่างสูงกว่าถอนหายใจ ปลายนิ้วดันกรอบแว่นที่ตกลงมาขึ้น ก่อนเอ่ยต่อ
"จะอยู่ซ้อมดึกฉันก็ไม่ว่าอะไรหรอกนะ"
กระแสเสียงมีความเหนื่อยหน่ายต่อบางสิ่งอย่างเห็นได้ชัด
"แต่..."
และ จู่ๆ ก็ขึ้นประโยคราวกับจะกล่าวเตือน หากใบหน้าคมกลับเบือนหนีไปอีกทางแทน
"ครับ?"
คุโรโกะเอียงคอมอง ขานรัยอย่างติดใจสงสัย
"ช่างเถอะ"
แต่ถูกพูดเชิงตัดบทราวกับปิดบังอะไรบางอย่าง

และแทนที่ด้วยคำแนะนำกึ่งห้ามปรามที่ไม่บอกเล่าให้กระจ่างแทน
"เอาเป็นว่า... ซ้อมเสร็จก็รีบกลับ อย่าเที่ยวซ่อกแซ่กในโรงละครแล้วกัน"
ทำเอาอดคิดไม่ได้ว่าหรือคนตรงหน้าจะล่วงรู้เรื่องที่เขาหลบลงไปชั้นใต้ดินของ 'คนคนนั้น' หรอกนะ?

การซักซ้อมของคณะละครเป็นไปตามปกติ และเขาก็ยังคงจืดจางไร้คนสนใจเช่นเดิม จะมีสิ่งที่แตกต่างของไปก็คงเป็นคนส่วนใหญ่ดูกระตือรือร้นในการทำงานมากขึ้น แข็งขันและพร้อมเพรียงกว่าปกติ
จากคำบอกเล่าของทาคาโอะคุง ดูเหมือนว่าพรุ่งนี้... ผู้อุปถัมภ์คนใหม่ของโรงละครจะมาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้ เป็นคนชั้นผู้ดีที่ยังหนุ่มและดังในหมู่คนเมืองนี้ เพราะนอกจากเพิ่งได้รับมรดกมหาศาลแล้ว เจ้าตัวยังหล่อเหลาถึงขั้นหาตัวจับได้ยาก
คุโรโกะพยักหน้ารับเป็นระยะ ขณะฟังเรื่องเล่าที่เหมือนเอามาจากวงซุบซิบของสาวๆ ด้วยความที่คลุกคลีกินนอนในโรงละครมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ประกอบกับเป็นคนร่าเริง อัธยาศัยดี จึงเป็นที่รักและเอ็นดูของคนในคณะละครและพนักงานคนอื่นๆ จนบ่อยครั้งก็มีเรื่องแปลกๆ และข่าวสารที่คาดไม่ถึงให้ได้รับรู้เสมอ
ครั้งนี้ก็เช่นกัน...

ไม่เพียงแค่เรื่องผู้อุปถัมภ์คนใหม่ของโรงละคร
"ดูเหมือนว่า 'แฟนธ่อม' จะกลับมาแล้วล่ะ"
หากเป็นเรื่อง 'มัจจุราชไร้เงา' บุคคลที่ราวกับเป็นตำนานลี้ลับของโรงละครแห่งนี้
เจ้าของเสียงอันไพเราะราวกับเสียงที่มาจากสวรรค์และชอบส่ง 'สาร' ที่ลงด้วยชาดสีแดงเข้มมาชี้แนะกึ่งบังคับเหล่าผู้จัดการในโรงละครเสมอ       แม้หลายต่อหลายครั้งจะเป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อถือ แต่ 'แฟนธ่อม' ก็สามารถทำให้คนยอมรับและทำตามได้
บางคนเล่าว่า 'เคย' พบเห็นชายหนุ่มร่างสูงในอาภรณ์สีแดงตามจุดที่จะเห็นภาพมุมกว้างของเวทีทั้งหมดและได้ยินเสียงขับร้องจากบรรดานักร้อง... ผู้รับบทตัวเอกต่างๆ
และหากไม่พอใจก็จะทำให้สิ่งสิ่งนั้นหรือใครคนนั้น 'หายไป' จากโรงละคร ด้วยอุบัติเหตุที่ไม่คาดฝันหรือจำต้องจากไปเองด้วยเหตุผลต่างๆ นานา
เริ่มจากจะมาในรูปแบบ 'จดหมายเตือน' ซึ่งจะถูกส่งมาถึงผู้ดูแลโรงละครอย่างคุณมิโดริมะ ก่อนจะเหล่าผู้จัดการจะได้รับ และหากได้รับการเพิกเฉย ไม่ปฏิบัติตามวิธีการส่งจดหมายก็จะยิ่ง 'โจ่งแจ้ง' และอุบัติเหตุในการฝึกซ้อมก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น
"ฉันจะเลิกเล่นละครเฮงซวยนี้แล้ว!"
เสียงแหลมสูงตวาดลั่น มือเรียวดึงปิ่นปักผมที่จัดแต่งออกมาปาทิ้งอย่างหัวเสีย ใบหน้าคมสวยงอง้ำด้วยความกรุ่นโกรธและหงุดหงิดจนถึงที่สุด ร่างเพรียวบางถ่อมาประจานหน้ากับเหล่าผู้จัดการ
"ไอ้เสาบ้านั่นหวิดจะฟาดหัวฉันเป็นรอบที่ร้อยของวัน! ล้มลงมาทับคอหักตายจะว่าไงห๊ะ!"
เด็กสาว... เจ้าของตำแหน่งนักร้องเสียงโซปราโน่ที่ดังและมีชื่อเสียงที่สุดในตอนนี้ ท้าวสะเอวเปิดฉากไล่บี้ผู้จัดการทั้งสองแบบลืมกลัว
สลัดความเกรงใจที่ไม่ค่อยจะมีของเจ้าตัวทิ้งลงคลองไป
เสียงแหลมสูงชวนแสบแก้วหูรัวใส่ไม่ยั้งและแผดเสียงไล่ระดับอ๊อคเทฟขึ้นไปเรื่อยๆ อีกตั้งหาก
ชายหนุ่มผมสีเขียวดันแว่นตาขึ้น ตาสีเดียวกับเส้นผมเขม่นมองร่างเล็กกว่าด้วยความไม่พอใจ ซึ่งเจ้าตัวตอบรับด้วยการเบ้ปากใส่หนึ่งที
"เอาน่าๆ สงบสติอารมณ์ก่อนนะไฮซากิ"
ผู้จัดการใหญ่พยายามใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
"สงบบ้าสงบบออะไร ไอ้ผีบ้านั่นกะจะฆ่าฉันชัดๆ!!"
ไฮซากิสวนกลับอย่างไม่รีรอ ถ้านับนอกจากเรื่องเป็นดาวเด่นของโรงละครแล้ว เรื่องฝีปากร้ายๆ ของเจ้าตัวก็โด่งดังไม่แพ้กัน
และคงจะเป็นคนเดียวด้วยที่กล้าด่า 'มัจจุราชไร้เงา' ของปีศาจลึกลับของโรงละครนี้ว่าเป็น 'ผีบ้า' อย่างไม่เกรงกลัวอำนาจมืด

จดหมายเตือนสองสามฉบับหลังที่ถูกส่งมาทั้งต่อหน้าและลับหลังจาก 'แฟนธ่อม' กล่าววิจารณ์ถึงความไม่เหมาะสมของการเลือก
'ไฮซากิ' รับบท 'คริสทีน' นักร้องโอเปร่าสาว
ในเรื่อง ...ปีศาจแห่งโรงอุปรากร...
เนื้อความในแผ่นกระดาษที่ตวัดลงปลายปากกามาอย่างงดงาม
มีใจความหลักๆ คือ ...
ไฮซากิ เสียงแหลมเกินไปสำหรับบท เนื้อเสียงไม่นุ่มนวล อ่อนหวาน ซ้ำยังชอบขาดซ้อม ขยันสร้างข่าวอื้อฉาวด้วยการโดดไปรับประทานอาหารหรืองานเลี้ยงตามเทียบเชิญของพ่อค้าวานิชและเศรษฐี
ใช้ความสาวและจุดขายที่เสียงกับฐานะนักร้องสาวชื่อดังหลอกล่อให้ใครต่อใครมาปรนเปรอให้
สร้างผลเสียและภาพลักษณ์น่ารังเกียจแก่นักร้องสาวคนอื่น
ซึ่งผู้จัดการทั้งสองเข้าใจดีถึงเรื่องนี้ แต่บัตรเข้าชมถูกขายไปแล้ว และสูจิบัตรแนะนำเรื่องและตัวแสดงก็ยังมีชื่อ 'ไฮซากิ โชโกะ' กล่าวถึงการรับบทเด่นในละครเรื่องนี้
เจ้าตัวยังขายได้... และมีส่วนในการตัดสินใจสำคัญของการซื้อบัตรเข้าชม
ริมฝีปากบางเหยียดยิ้ม กอดอกเช่นผู้ที่รู้ดีว่าถือไพ่เหนือกว่า
หากยังไม่ทันได้พ่นคำร้ายๆ มาว่าคนอื่นให้เจ็บแสบหรือป่วนประสาทคนอื่นได้มากกว่านี้
ฝ่ามือของใครบางคนก็มากดศีรษะเล็กๆ ที่เชิดขึ้นต่อปากต่อคำเหล่าผู้จัดการที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับบุพการีของเจ้าตัวให้ก้มต่ำลงซะก่อน
"วิธีพูดจาแบบนั้นมันใช่วิธีพูดกับผู้อาวุโสหรือไง ไฮซากิ"
"คุณนิจิมุระ!"
ผู้จัดการใหญ่ 'ชิโรงาเนะ' ยิ้มรับ พี่ใหญ่แห่งโรงละคร บุคคลเดียวที่เจ้าของชื่อเสียงอันโด่งดัง(พอๆ กับชื่อเสีย) เอาอยู่ ฝ่ายรองผู้จัดการอย่าง 'ซานาดะ' ก็ได้แต่พรูลมหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนไล่คณะละครมุงที่ชะโงกหน้าละงานมาดูการโต้เถียงอย่างสนุกสนานกลับไปประจำหน้าที่ตามเดิม
มือใหญ่ขยี้เส้นผมเล็กละเอียดสีเทาอ่อนราวขนมิงค์ชั้นดี จนศีรษะโยกคลอน เส้นผมนิ่มที่ถูกจัดแต่งอย่างดีเสียทรงกลายสภาพเป็นรังนกขนาดย่อมแทน เด็กสาวหันขวับมาแยกเขี้ยวใส่คนอายุมากกว่า ทำท่าจะเปิดปากแหวใส่ทันที
ติดแต่อีกฝ่ายไม่ได้ละมือไปไหน ยังคงวางนิ่งบนศีรษะเจ้าตัวและกดหนักจนต้องย่นคอกว่าเดิมเท่านั้นเอง
เหตุการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นก่อนที่เขาจะได้ขึ้นเวทีในฐานะนักร้องสาวนิรนาม ผู้รับบทคริสทีน แทนดาวเด่นของโรงละคร
 .........ไฮซากิ โชโกะ.....

วันนี้เป็นอีกวันของการซ้อมละครเรื่องใหญ่ที่กำลังจะจัดแสดง และแน่นอน คนที่เป็นปัญหาก็ยังเป็นปัญหาอยู่เช่นเดิม ...
หากในความรู้สึกหลายคน แม้จะหมั่นไส้กับท่าทียะโสและปากร้ายๆ ของเจ้าตัว แต่เรื่องที่เจอก็อดทำให้เห็นใจไม่ได้จริงๆ
หนึ่งในฉากของละครที่เป็นแผ่นไม้ขัดขนาดกลาง ฉลุดลวดลายอย่างวิจิตรและระบายสีอย่างสวยงาม หมดค่าหมดราคาทันที เมื่อขณะที่ขนย้ายในฉากที่กำลังจะเปลี่ยน มันได้ บังเอิญหล่นร่วงลงมาใส่แผ่นหลังของนักร้องสาว เจ้าของตำแหน่งเสียงโซปราโน่เข้าพอดิบพอดีราวจับวาง
แม้จะมีขนาดไม่ใหญ่มาก และความที่คนอยู่กันเยอะ จึงช่วยกันยกออกจากร่างเธอได้ทันท่วงที แต่อวัยวะที่ถูกแรงกระแทกก็เดาะ... ทิ้งรอยเป็นปื้นแดงช้ำ ซึ่งในเวลาต่อมาคงเป็นสีม่วงๆ เขียวๆ คล้ำให้ระคายตากัน
ไฮซากิโกรธจนควันออกหู ประกาศกร้าว ยังไงก็จะไม่อยู่ที่นี่แล้ว!เพราะไม่เพียงแค่เสียงในฐานะนักร้องโอเปร่า

แต่รูปร่างและหน้าตาก็เป็นส่วนหนึ่งที่ถีบเจ้าตัวมาได้ขนาดนี้ หวิดเสียโฉมเกือบๆ จะเสียชีวิตแบบนี้ เป็นใครใจเย็นอยู่ได้คงเข้าขั้นพระอิฐพระปูน
มิโดริมะ ชินทาโร่มองความวุ่นวายเบื้องหน้าด้วยสีหน้าประหลาด จะว่ากลืนไม่เข้าคลายไม่ออกก็ใช่ จะว่าหนักอกหนักใจก็ไม่เชิง
เป็นสีหน้าที่ดูปลงตกราวกับจำยอมในบางสิ่งมากกว่า

ถ้าผู้หญิงคนนั้นใช้ไม่ได้ ผมแนะนำเด็กคนหนึ่งนะ ชินทาโร่
ปลายนิ้วเรียวยาวแตะลงบนส่วนหัวของหมากรุกในมือ ขณะที่เท้าคางมองใบหน้าเคร่งเครียดของคู่เดินหมาก
เท็ตสึยะ...
รอยยิ้มประหลาดวาดขึ้นบนเรียวปาก ซึ่งในสายตาของคนที่รู้มักคุ้นกันมากว่าสิบปีรู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูกกับรอยยิ้มเช่นนั้น
มันเป็นความพึงพอใจราวกับเด็กที่เจอของเล่นน่าสนุก
จะผิดจากเด็กไปเพียงแค่คนตรงหน้าเป็นพวกทำอะไรคาดเดาไม่ได้ และเจ้าเล่ห์ร้ายอย่างน่าขนลุกเท่านั้นเอง
น่าสะพรึงกลัว ... ไม่ต่างจากใบหน้าเบื้องหลังหน้ากากนั่น
คุโรโกะ... เท็ตสึยะ
น้ำเสียงที่เอ่ยย้ำ ซ้ำเป็นจังหวะจะโคนช้าชัดเจือความสนุกสนานรื่นรมย์ ราวกับกำลังคิดคำนึงถึงเจ้าชื่ออยู่ก็ไม่ปาน
นำความแปลกใจเทียบเท่ากับความไม่น่าไว้ใจต่อคนตรงหน้าให้พุ่งขึ้นสูงกว่าเดิม การรู้จักเด็กฝึกหัดที่แทบไร้ตัวตนในโรงละคร ไม่ได้น่าตระหนกตกใจสักเท่าไหร่นัก เพราะในโรงละครแห่งนี้ ไม่มีสิ่งใด...
ไม่มีอะไรที่ อาคาชิ เซย์จูโร่ไม่รู้
แต่บทคริสทีน....เป็นผู้หญิง
หากที่น่าหวาดหวั่นคือจุดประสงค์ที่หมายจะทำผ่านเด็กคนนั้นตั้งหาก ชินทาโร่จึงอดไม่ได้ที่จะค้าน แม้รู้แก่ใจว่าทุกสิ่งต้องเป็นไปตามประกาศิตของคนคนนี้ก็ตาม
เรื่องแปลงโฉมเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้เป็นสาวงาม ไม่น่าเกินความสามารถของซัตสึกิหรอก
หันเหความสนใจ เผลอพลั้งเผลอเพียงนิดก็เป็นฝ่ายปราชัย เขาถูกรุกฆาตในพริบตาเดียว จากตำแหน่งที่ไม่น่าเป็นไปได้
จริงมั้ย?’ผู้ชนะยกยิ้มอีกครา ก่อนสัพยอกให้ยิ่งกระดากอายในความเผลอไผลเพียงชั่วครู่
ไม่กล้าเสี่ยง...จะชนะได้ยังไง?’
ชินทาโร่
แม้จะไม่อยากทำตามคำแนะนำของคนคนนั้น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลืออยู่
ซองจดหมายที่ประทับปิดด้วยชาดสีแดงเข้มปรากฏขึ้นตามคาด
ไม่ว่าจะแนะนำอะไรก็ไม่ได้นำไปปรับปรุงกันเลย เอาเป็นว่าผมขอแนะนำเลยว่า บท คริสทีนควรให้ คุโรโกะ เท็ตสึยะเล่น
เปลี่ยน คนใหม่ ที่เหมาะสม... ส่วนเจ้าตัวให้ถอยไปเล่นบทรองแทน
เนื้อความห้วนสั้น เต็มเปี่ยมไปด้วยกระแสของการสั่ง มากกว่าคำแนะนำเช่นที่บอกกล่าว
และถึงจะไม่มี สารนี้มา แต่คนหัวดื้ออย่างไฮซากิก็ไม่มีทางยอมเล่นง่ายๆ คงเล่นแง่อีกสารพัดจนกว่าจะได้ดั่งใจเจ้าตัว ซึ่งระดับความเอาแต่ใจที่มีมากขึ้นทุกวันก็รับมือยากขึ้นทุกที เพียงแต่ยังไม่มีคนมาทำหน้าที่ตรงนี้ได้ จึงหลับหูหลับตากันอย่างละข้างกันไป
เพราะนักร้องบทโอเปร่าใช่ว่าจะหาได้ดั่งใจง่ายดายในวันสองวัน... คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องทำตามน้ำไป

หากมิโดริมะมั่นใจอย่างหนึ่ง แม้จะนึกค้านในการกระทำแปลกประหลาดของอาคาชิหลายครั้ง
จำนนในสายตา การรับรู้ และพรสวรรค์ใน ดวงตาคู่นั้น
อาคาชิไม่เคยผิดพลาด
ผมชนะทุกครั้ง
ดังนั้นจึงถูกเสมอ.... และตลอดมา...
ภาพที่กำลังประจักษ์ตอนนี้ ยืนยันคำกล่าวเหล่านั้นเป็นอย่างดี

"ใครน่ะ?"
"คุโรโกะ? เท็ตสึยะ??"
"ชื่อผู้ชาย... ไม่ใช่เหรอ?"

เครื่องหมายคำถามแทบจะปรากฏบนหน้าของทุกคนที่อยู่บริเวณนั่น เสียงซอกแซ่กดังขึ้นเป็นย่อมๆ ก่อนกระจานเป็นวงกว้าง กำเนิดเสียงหึ่งๆ ราวผึ้งแตกรัง ตามหาเจ้าของชื่อดันให้ขวัก
หากเจ้าตัวกลับขมวดคิ้วไม่ใคร่ชอบใจนัก แต่เพื่อนข้างตัวกลับมีปฏิกิริยาตรงข้าม ทาคาโอะหัวเราะหึหึ ดวงตาสีเทาจางฉายแววเจ้าเล่ห์ ตามติดด้วยริมฝีปากที่ยกยิ้มระรื่น ดูซุกซนเหมือนเด็กที่กำลังจะมีแผนร้ายในการแกล้งเพื่อนอย่างไรอย่างนั้น
"ทาคาโอะคุง คุณคงจะไม่... "

เจ้าของชื่อยิ้มกว้างจนตาหยีเป็นเส้นโค้ง ก่อนคว้าไหล่คนตัวเล็กกว่า พลิกจากหน้าเป็นกลับหลัง แล้วผลักร่างเพรียวที่อยู่ปะปนกับพนักงาด้วยกันให้ออกไปยืนกลางเวทีต่อหน้าทุกคน
"ตรงนี้ไง!"
ซ้ำยังเรียกความสนใจด้วยการตะโกนลั่น น้ำเสียงระรื่นยินดี พร้อมยกนิ้วโป้งแถมให้กำลังใจ
'โอกาสมาถึงทั้งที..เอาเลยคุโรโกะ!'
ริมฝีปากสีแดงอมส้มคลี่ยิ้มกว้างอีกครั้ง เล่นเอาได้แต่ส่ายหน้าในพลังงานอันล้นเหลือนั่น
และเพราะถูกผลักอย่างไม่ทันตั้งตัว ประกอบกับมีอุปกรณ์ประกอบฉากบางชิ้นที่เขาไม่ทันมองเห็น
ปลายเท้าสะดุดกับกล่องที่วางไว้จนเซถลา วูบหนึ่งนึกในใจว่าเปิดตัวด้วยการล้มคะมำต่อหน้าทุกคนคงไม่โสภาเท่าไหร่...
หากมือของใครบางคนกลับรวบกอดและคว้าร่างเขาไว้ได้
"เป็นอะไรมั้ยครับ?"
น้ำเสียงทุ้มนุ่มฟังดูอ่อนโยน และสุภาพจนเรียกสายตาให้แหงนมองสิ่งที่แรกเห็นคือใบหน้าคมคายหล่อเหลา ที่งดงามสมบูรณ์อย่างยากหาใครเปรียบ

ใบหน้านั่นล้อมกรอบด้วยเส้นผมสีทองสว่างยาวถูกรวบพาดบ่าไว้ นัยน์ตาสีน้ำผึ้งทองราวหยดทองเหลวลงผสมกับน้ำผึ้งใส เรียวปากบางสีแดงอ่อนๆ รับกับผิวขาวแบบผู้ดีของคนตรงหน้า
หากที่ทำให้คุโรโกะสะกิดใจและละสายตาไม่ได้ คือแววตาคู่นั่น ที่จ้องมองมาราวกับได้เจอสิ่งที่ตามหามาเนิ่นนาน
คุโรโกจจิ??”
ดวงตาสีฟ้าอ่อนใสพิจารณาใบหน้าที่โน้มลงมาในระยะประชิด จวนเจียนจะแทบแลกริมฝีปากกันได้อยู่แล้ว ไออุ่นจากลมหายใจรินรดจนมือขยับยันใบหน้าอีกฝ่ายไปแทบจะในทันทีที่ยืนได้มั่นคง
คำเรียกคุ้นหู ใบหน้าคุ้นตา แต่เสียงที่ได้ยินกลับไม่คุ้นชิน
เหมือนเดิมเลยน้า~” วิธีพูดนี่ก็อีก ...
เขาเคยรู้จักคนคนนี้มาก่อนงั้นเหรอ?
ใบหน้าของเด็กหนุ่มผมสีฟ้าแสดงความคิดในหัวหมดสิ้น
ทำเอาร่างสูงโปร่งของเด็กหนุ่มแทบทรุดลงไปกองกับพื้นด้วยความร้าวระทมปานถูกนาง(?)ในดวงใจลืมเลือนก็ไม่ปาน
อ้าว? จำผมไม่ได้เหรอคุโรโกจจิยยย์
ใบหน้าหล่อเหลาดูงดงาม แปรเปลี่ยนไปเหมือนลูกสุนัขตัวโตเชื่องๆ ที่ส่งสายตาอ้อนเจ้าของตาละห้อยอย่างรวดเร็ว นิ้วปาดหยดน้ำที่ปริ่มมารอตรงหัวตาด้วยท่าทีราวกับเจ็บช้ำน้ำใจเหลือแสน


โหดร้าย... คุโรโกจจิโหดร้ายที่สุดเลย!!
ไม่พูดพร่ำทำเพลง คว้าร่างเขาไปกอดหน้าตาเฉย ท่ามกลางสายตาคนเกือบร้อยที่ตะลึงอึ้งไปแล้วกับท่าทีจากหน้ามือเป็นหลัง... ของผู้อุปถัมภ์ที่ยังคงมีท่าทางสง่างามสูงศักดิ์ ชวนให้ลุ่มหลง แต่ไม่อาจเข้าหา ราวกับรอบกายมีอาณาเขตบางๆ กางกั้นไว้
......ซึ่งอาณาเขตที่ว่าสลายหายไปสิ้นในนาทีนี้นี่เอง...
คิเสะ..คุง?”
เหมือนเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน...
คุโรโกะคิด ขณะที่ยันใบหน้าซึ่งเนียนโน้มลงมาซุกไซร้เกลือปลายคางกับศีรษะตนอย่างหัวเสียนิดๆ
หากยังไม่ทันให้เด็กหนุ่มประทุษร้าย คุณผู้อุปถัมภ์ใหม่ให้ได้อึ้งกันไปกว่านี้ ชายหนุ่มผู้มีหน้าที่ควบคุมความเรียบร้อยในโรงละครก็เดินมาหิ้วคอคนที่ทำลายภาพพจน์ตัวเองจนย่อยยับออกมาซะก่อน
อ่า... มิโดริมัจจิอะ!
เสียงกระเง้ากระงอดแบบเด็กเล็กๆ ซึ่งมาคู่กับใบหน้าหล่อเหลาและเสียงทุ้มนุ่มคงละลายใจสาวน้อยสาวใหญ่ รวมถึงแม่ม่าย ให้ตกหลุมพราง แต่พอดีเขาเป็นผู้ชาย และรู้จักเด็กนี้มานานพอที่จะรู้ว่าเป็นการ
เสแสร้งเกินครึ่ง จึงเมินเฉยกับสายตาออดอ้อนนั่นได้อย่างเย็นชา

ลองร้องสิ
เมื่อลากคิเสะมาอยู่ในที่ในทางที่ควรอยู่ โดยไม่ถลาไปหาว่าที่ คริสทีนของใครบางคนให้เขาเสียวอำนาจมืด ชายหนุ่มก็ออกปากให้คุโรโกะเริ่มสาธิตเสียงร้องของเจ้าตัวทันที
นัยน์ตาสีเขียวเข้มเบื้องหลังกรอบแว่นจับจ้องไปที่ร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังรวบรวมสมาธิและสะกดความตื่นเต้นที่พลุ่งพล่านขึ้นมาจนมือสั่นระริกไว้
โอกาสครั้งแรก... และอาจเป็นครั้งเดียวของเขา
สองผู้จัดการที่เห็นท่าที่เช่นนั้นของผู้ดูแลโรงละคร เริ่มที่จะสนใจการร้องสาธิตนี้อย่างจริงจัง มิโดริมะคงรู้ถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ของเด็กคนนี้ แต่ไม่สบโอกาสที่จะผลักดัน จนกระทั่งมีจดหมายจาก แฟนธ่อมส่งมาเตือนครั้งแล้วครั้งเล่า


Think of me, think of me fondly
When we've said goodbye
Remember me once in a while
Please promise me, you'll try


คิดถึงกัน คำนึงหาอย่างรักใคร่
ยามที่เราจากไกล
ขอให้จดจำกันไว้ แม้นานๆ ครั้ง
สัญญาทีว่าจะไม่ลืมเลือน

เสียงพูดคุยราวนกแตกรังเงียบหาย น้ำเสียงที่ถูกขับร้องออกมาใสกังวานและไพเราะจนอยากจะเอ่ย
คุโรโกะสบตากับมิโดริมะด้วยความไม่มั่นใจ ชายหนุ่มพยักหน้าเป็นสัญญาณให้ร้องต่อไปได้
แผ่นอกกระเพื่อมไหว มือยังคงสั่น... แต่นอกเหนือจากความตื่นเต้น คราวนี้มีความยินดีที่เต็มตื้นขึ้นมา
ทาคาโอะโบกไม้โบกมือยิ้มให้เป็นกำลังใจ เหมือนจะขยับปากเป็นทำนองให้ สู้ๆ’ ‘เอาเลยซะด้วยซ้ำไป


When you'll find that once again you long
To take your heart back and be free
If you'll ever find a moment
Spare a thought for me

แม้เธอนั่นได้พบเจอใครสักคน
จนดวงใจร้างลาโผผินไป
ก็วอนขอให้นำพา สักเสี้ยวหนึ่งนั่น
หวนคิดถึงกันสักครา

Flowers fade, the fruits of summer fade
They have their seasons, so do we
But please promise me that sometimes
You will think of me

ดอกไม้โรยรา พืชผลยามฤดูร้อนร่วงโรย
ผันผ่านไปแต่ละฤดูกาลเช่นเราสอง
ได้โปรดเถิด คนดี  สัญญาที เพียงสักครั้ง
ขอให้คิดถึงกันก็พอ

เสียงตบมือดังกระหึ่มขึ้นทั่วทั่งโรงละคร ยามเสียงสุดท้ายสิ้นสุดลง ใบหน้าน่ารักของคนที่กำลังจะเป็น อดีตดาวเด่นงอง้ำ

เนื่องด้วยรับรู้ได้โดยไม่ต้องมีใครมาบอกกล่าวว่าถึงเวลาที่ตัวเองกำลังจะโดนเขี่ยทิ้ง

ส่วนเรื่องที่เจ้าของเสียงนี้เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดานั่นได้รับการช่วยเหลือจากนักแต่งหน้ามือดีของโรงละคร ที่ปรี่เข้ามาขออนุญาตสองผู้จัดการและผู้ดูแลโรงละครเพื่อ เนรมิต’  คริสทีนขึ้นมา
ด้วยใบหน้ากับดวงตาที่แม้จะนิ่งเฉยไร้อารมณ์
หากผิวของเจ้าตัวเนียนละเอียดหมดจดไร้ตำหนิ และขาวนวลเพียงแต่ตกแต่งและประทินโฉมอีกเล็กน้อยจากช่างมือดีก็กลับกลายเป็นสาวน้อยงามสะคราญ
ที่สวย...งดงาม
ดวงตาสีฟ้าอ่อนที่เคยเป็นจุดด่างพรายนั่นขับดวงหน้าหวานให้ดูลึกลับน่าค้นหา
ริมฝีปากสีแดงอ่อนระเรื่อถูกป้ายน้ำผึ้งเล็กน้อยให้ดูอิ่มเอิบชุ่มชื้น
รูปร่างผอมค่อนข้างเพรียวบางเช่นเด็กหนุ่มที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ ได้รับการรัดดันทรงให้มีส่วนโค้งเว้าเช่นเด็กสาวแรกรุ่น หน้าอกที่ไม่มีก็เสริมเติมด้วยหมอนทรงกลมยัดนุ่นเย็บติดกับคอร์เซ็ทผูกแน่นหนา

เส้นผมสีฟ้าอ่อนยุ่งนิดๆ ถูกจัดแต่งให้เป็นทรง ล้อมกรอบใบหน้าใส รับกับจมูกโด่งรั้น และริมฝีปากบาง
ผิวขาวออกนวลเนียนเหมือนน้ำนมโดดเด่นในชุดกระโปรงยาวฟูฟ่องสีชมพูอมส้มราวดอกโอลด์โรส ตรงช่วงอกมีระบายลูกไม้พรางหน้าอกอีกชั้นหนึ่ง
ส่วนลำคอเพรียวที่มีไม่อาจปกปิดบางสิ่งได้นั่น
ใช้.... สร้อยเส้นนี้ได้มั้ยครับ?”
คุโรโกะเอ่ยแทรก เด็กสาวที่กำลังก้มๆ เงยๆ หาเครื่องประดับสำหรับนักแสดงของโรงละคร
ดวงตาสีชมพูเหมือนกลีบดอกไม้เปล่งประกายวาววับเมื่อได้เห็นสร้อยไข่มุกในมือ โมโมอิหยิบผ้ากำหมะยี่ขึ้นมารองรับ ก่อนพิจารณาอย่างทะนุถนอมและชื่นชม
อาศัยสายตาของคนที่ทำงานด้านเครื่องแต่งกายมาหลายปีอย่างเธอ บอกได้เลยว่านี้เป็นสร้อยเส้นนี้ทำขึ้นอย่างประณีตและบรรจงมาก
ไข่มุกทรงกลมร้อยต่อกันด้วยข้อทองคำสี่ชั้น  ตรงจี้รอบสร้อยเป็นไข่มุกเช่นเดียวกับตัวฐานหลัก แต่ทรงเป็นรูปหยดน้ำ

ไข่มุกทุกเม็ดมีสีขาวเคลือบชมพู เนื้อมันวาว เปล่งประกายสม่ำเสมอทั้งเม็ด  ยามส่องแสงไฟยิ่งแสดงความวาวให้เห็นเหลือบสีสวย
ซ้ำผิวสัมผัสยังไร้รอยถลอก ปราศจากฟองอากาศ  จัดเป็นไข่มุกคุณภาพดีที่มีราคาแพงลิบและหาได้ยาก
ถึงจะสงสัย... แต่การซักถามนั่นดูเป็นการละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่ายเกินไป ยิ่งเมื่อสร้อยเส้นนี้ถูกสวมลงบนลำคอเพรียวนั่น ยิ่งรับกันเหมาะเจาะกับชุดกระโปรงยาวที่สวมใส่
ขับเน้นให้คนตรงหน้าดูเหมือนเด็กสาวที่เป็นเหมือนดอกไม้แรกแย้ม อ่อนหวานและลึกลับชวนให้ค้นหาด้วยแก้วดวงตาสีฟ้าอ่อนราวกับผลึกใส เชิญชวนให้จ้องลึกลงไป
จนโมโมอิอดอมยิ้มอย่างปลื้มใจไม่ได้ ในฐานะช่างแต่งตัว การที่นักแสดงสวมใส่ชุดได้เหมาะสม ใบหน้าถูกตกแต่งจนแสดงให้เห็นถึงเสน่ห์ที่ซ่อนเร้นมา เปิดเผยต่อสายตาผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์แบบก็ทำให้ลืมเลือนทุกอย่างไปสิ้น มีแต่ความภาคภูมิใจในผลงานตรงหน้า
คุโรโกะมองตัวเองในกระจกอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่าแค่แต่งหน้าแต่งตาและสวมใส่เครื่องแต่งกายไม่กี่ชิ้น

จากเด็กหนุ่มธรรมดาก็กลายเป็นเด็กสาวไปเสียแล้ว...

เสียงดนตรีจากวงออเคสตร้าขนาดใหญ่บรรเลงรับ เด็กหนุ่มในคราบเด็กสาวขึ้นแสดงบท คริสทีนและขับร้องด้วยความมุ่งมั่น
จากแรกเห็นที่ผู้ชมเดินหนี บางลุกจากที่นั่งไม่ใช่ดาวเด่นที่รอดู ค่อยๆ ทยอยเดินกลับมาประจำที่นั่ง ราวกับต้องมนตร์สะกดของเสียงนุ่มนวลและกังวานใสของนักร้องสาวคนใหม่

ดั่ง ไข่มุกเม็ดงามที่เปล่งประกายงดงามอย่างบริสุทธิ์

หากประกายอันนวลตา
และแวววาวของมัน
กลับชวนให้ลุ่มหลง... มัวเมาแทบขาดใจ


NEXT To บทที่ 3 คีตายามค่ำคืน .