Maiko Eren
Fandom : Shingeki no Kyoujin or Attack on Titan
Pairing : Levi*Eren , ??*Hanji
Note :
รวมจากทวิตช็อตมาตั้งแต่ต้นจนจบนะคะ ภาษาหรืออะไรอาจจะดูกระโดดๆไปบ้าง
เพราะด้นสด ไร้พล็อตสุดกู่ คิดอะไรได้ก็มาเรียงๆ ต่อกัน
ไมโกะถือเป็นเด็กรับใช้ฝึกหีดส่วนตัวของเกอิชา
มีหน้าที่ดูแลและปรนนิบัติพัดวี โดยจะเรียกเกอิชาที่ตนดูแลว่า 'พี่สาว' ส่วนเกอิขานั่นก็มีหน้าที่สอนสั่งและฝึกไมโกะ
ในวันๆ หนึ่ง นอกจากดูแล 'พี่สาว' แล้ว ไมโกะยังต้องเรียนการละเล่นต่างๆ
เพื่อแสดงความบันเทิงให้แก่ลูกในอนาคต ทั้งซามิเซ็น ชงชา รินเหล้า
หรือวิธีการพูดคุยอย่างมีจริต ล้วนแล้วแต่สำคัญต่อไมโกะที่จะเป็นเกอิชาในอนาคตทั้งนั้น
เกอิชาไม่ใช่โสเภณีหรือนางบำเรอ
เป็นเพียงผู้มอบความสำราญให้แก่นายท่านทั้งหลายเท่านั้น
แต่ถึงกระนั้น...
การจะก้าวจากตำแหน่ง 'ไมโกะ' ขึ้นเป็น 'เกอิชา' นั่น
ก็มีการประมูลความบริสุิทธิ์ของเด็กสาวเหล่านี้อยู่ดี
ซึ่งค่อนข้างรับรู้กันทั่วไปในหมู่ชายหนุ่มชนชั้นผู้ดีหรือพ่อค้าที่มีอันจะกิน
ราคาประมูลยิ่งสูงยิ่งแสดงถึงความงดงามและมีคุณค่า
มือเรียวสีเนื้ออ่อนจัดแจงทรงผมให้ 'พี่สาว' ไปพลางฟังเรื่องเล่าที่หลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากบางนั้น
เอเลนทำหน้าเหยเก
คิดไม่ออกเลยว่าจะมีใครสักคนกล้าประมูลตัวเองด้วยราคาสูงลิ่วเพื่อ 'พรหมจรรย์' ของตน
น่ารักน่าเอ็นดูอย่างอาร์มินหรือก็ไม่
สวยสง่างามสะกดเช่นมิคาสะก็ไม่สักนิด
แถมยังเป็นเด็กผู้ชายอีกตั้งหาก
"ฮันจิซัง
แล้วคนแรกของคุณเป็นใครเหรอครับ?"
เด็กชายถามอย่างไร้เดียงสา
ดวงตาสีน้ำตาลแดงกะพริบปริบๆ สองสามที ก่อนจะหัวเราะร่วนออกมา
ร่างเพรียวบางหันมาจับข้อมือเล็กไว้
ก่อนเอ่ยแนะนำ
"ไม่ใช่คำถามที่ดีเท่าไหร่น้า~
อย่าเผลอไปถามคนอื่นเชียวแหละ! ระวังจะโดนลงโทษไม่รู้ด้วยน่า"
หญิงสาวเอ่ยไปหัวเราะจนน้ำตาเล็ดไป
เพราะ ' ประสบการณ์'
ครั้งแรก ใช่ว่าจะมีแตเรื่องดีๆ น่ะนะ
เอเลนในวัยสิบสองย่างสิบสามปีได้แต่เอียงคอมองใบหน้าสวยที่เริ่มเปรอะเครื่องประทินโฉมจากคราบน้ำตาด้วยสายตาไม่เข้าใจ
มือเรียวลูบลงบนศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมตัดสั้นนุ่มสีน้ำตาลเข้มจัดอย่างเอ็นดู
"เรื่องของฉันน่ะมันผ่านไปแล้ว
แต่สำหรับเธอ...ฉันหวังว่าให้ได้เจอคนดีๆ นะ เอเลน"
รอยยิ้มอ่อนหวานเจือด้วยความเศร้าอย่างประหลาดผุดขึ้นใบหน้าสวยงาม
คำพูดแฝงนัยนั้นยากเกินกว่าเด็กน้อยอ่อนเดียงสาจะเข้าใจ
วันนี้เป็นวันเปิดงานเทศกาลฤดูหนาว
สายลมเย็นโชยแผ่วเบาให้กระดิ่งหน้าร้านแกว่งไกวส่งเสียงกรุ๊งกริ๊งแว่วมา
เด็กน้อยพาดแขนกับบานหน้าต่างที่เปิดรับลมไว้แค่เล็กน้อย
ดวงตากลมโตสีเขียวสดใสมองเหม่อไปบนถนนที่ผู้คนเริ่มออกมาสัญจรเรียงรายด้วยเสื้อผ้าหลากสีสัน
"อะ...ออกไป...เที่ยวงานเทศกาล...ก็ได้นะ
เอเลน"
เสียงแหบพร่าจากพิษไข้กล่าว
เมื่อเห็นสายตาเหงาหงอยของเด็กชาย เอเลนรีบปิดบานหน้าต่าง
ก่อนผลุนผลันไปยังข้างฟูกนอน
"ฮันจิซัง...
อย่าเพิ่งลุกขึ้นมาสิครับ ยังไม่หายไข้แท้ๆ"
เด็กชายในชุดยูคาตะสีฟ้าอ่อนผวาไปประคองร่างเพรียวบางที่โงนเงนขึ้นมาจากหมอนสี่เหลี่ยม
หญิงสาวยังคงไข้ค่อกแค่ก ใบหน้านวลแดงก่ำ
"สัญ..ญา
ไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะพาไปเที่ยว ฉันนี่แย่จริง"
เอเลนค่อยๆ
นำหมอนสอดรองเข้าที่ท้ายทอยของ 'พี่สาว' ก่อนกึ่งบังคับกึ่งดันให้เอนตัวลงนอน
ผ้าชุบน้ำหมาดๆ เย็นเล็กน้อยถูกบิด แล้วจึงวางลงบนหน้าผากเนียนชื้นเหงื่อ
"ฮันจิซัง
ป่วยอยู่แบบนี้ ผมจะออกไปเที่ยวเล่นได้ไงครับ?"
คนอายุน้อยกว่าว่า
พลางดึงผ้าห่มนวมผืนหนาขึ้นมาจนชิดถึงลำคอ
เด็กชายยิ้มน้อยๆ ให้แล้วพูดต่อ
"แถมงานเทศกาลยังมีอีกตั้งหลายอาทิตย์
ไว้หายแล้วค่อยไปด้วยกันก็ได้ครับ"
และยังไม่ทันให้พูดอะไรต่อ
เสียงฝีเท้าตึงตังหนักแน่นฟังดูรีบร้อนก็ดังขัดขึ้นซะก่อน หัวคิ้วสีน้ำตาลเข้ามขมวดหม่นด้วยความไม่สบอารมณ์
เขาบอกให้ยกเลิก 'แขก' ของฮันจิซังไปแล้วทุกคนนะ ใครหน้าไหนกล้าปล่อยขึ้นมาน่ะห๊า!!
"จะ...ใจเย็นๆ
ก่อนครับ"
เสียงใสๆ
แบบเด็กยังไม่แตกเนื้อหนุ่มของเพื่อนสนิทดังแว่วมาให้ได้ยิน ฟังดูลนลาน
เล่นเอาเอเลนยิ่งเดือดหนัก ใบหน้าเนียนเริ่มแดงขึ้นด้วยความโกรธจนคนป่วยต้องคว้าข้อมือจับไว้ก่อน
"อย่า...ทำอะไร...วู่วาม...
เอเลน"
ฮันจิเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง
แต่น่าเสียดายที่เสียงฝีเท้ามาหยุดที่หน้าประตู ซะแล้ว เด็กชายปลดมือที่คว้าตนไว้
และส่ายหน้าน้อย
"ไม่ได้หรอกครับ
ผมจะไป" ...สั่งสอนแขกไร้มารยาทนั่น! ประโยคนี้ได้แต่ต่อในใจน่ะนะ
หากยังไม่ทันจะเปิดประตูออกไปจัดหนักให้สมใจ บานประตูก็เลื่อนเปิดออกมาซะก่อน
อาร์มินถอนหายใจหนัก
ส่วนเอเลนอึ้งกิมกี่ไปกับใบหน้าคุ้นเคยที่เห็นเป็นประจำ
"เออร์วินซามะ"
แขกคนสำคัญของฮันจิซัง.... ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่โบกมือไล่เด็กหนุ่มผมทองที่ยืนเลี่ยงไปด้านหลังรอคำสั่งอยู่
อาร์มินโค้งตัวรับ ก่อนจะหันไปสบตาเอเลนที่ยังอึ้งอยู่ให้หลบฉากออกมา
ดูท่าว่า...เขาคงไม่ต้องดูแลฮันจิซังแล้วล่ะน่ะ
"เออร์วินซามะรู้ได้ยังไงว่าฮันจิซังป่วยอยู่กัน?
อาร์มิน"
เอเลนเบือนหน้าไปถามเพื่อนสนิทที่กำลังคุ้ยหีบห่อเครื่องแต่งกายอยู่
ทั้งที่ศีรษะตัวเองกำลังถูกจัดแต่งทรงให้เรียบร้อยด้วยฝีมือเด็กสาวผมดำ
"อยู่นิ่งๆ สิ
เอเลน"
มิคาสะติง เมื่อศีรษะทุยๆ
ของเด็กหนุ่มสั่นไปมา เพราะหมุนซ้ายทีขวาทีตามร่างที่ผลุบโผล่ๆ ของใครอีกคนในห้อง
เด็กหนุ่มผมทองเงยหน้าขึ้นมา
เมื่อได้ชุดที่เหมาะสมแล้ว
"คงจากพวกทหารที่เเวะมาล่ะมั้งครับ?
เพราะเอเลนบอกคนเฝ้าหน้าร้านไว้ใช่ไหมล่ะครับว่าฮันจิซังป่วยอยู่รับแขกไม่ได้"
มือเล็กคลี่กิโมโนสีฟ้าสดใสลายดอกไม้สีขาวและแดงออกมา
สะบัดวางคู่กับยูคาตะสีแดงเข้มที่จัดรอไว้
"ถึงเออร์วินซามะจะงานยุ่งจนไม่มีเวลาแวะมาช่วงนี้
แต่ข่าวจากพวกลูกน้องคงปากต่อปากไปถึงน่ะครับ"
เอเลนพยักหน้าเข้าใจ
คราวนี้ปิ่นปักผมแฉลบข้างออกไป ใบหน้าคมสวยปรายมองด้วยดวงตาสีดำเข้มดุจัด
จนเด็กหนุ่มต้องส่งยิ้มแหยๆ
"เท่านี้ก็พอใช้ได้แล้วล่ะครับ
มิคาสะ"
อาร์มินกล่าว
เด็กสาวเพียงคนเดียวในกลุ่มถอนหายใจอย่างปลงตกกับความซนคนที่ตนเห็นเป็น 'น้องชาย' ออกมาเฮือกใหญ่
เด็กสาวผุดลุกขึ้นมาปัดชายกิโมโนสีขาวบริสุทธิ์ลายเถาซากุระอย่างลวกๆ
เส้นผมสีดำเข้มสั้นประบ่าถูกรวบขึ้นสูงทิ้งปลายน้อยๆ ตรงข้างแก้ม
มือเรียวสวยฉุดร่างเพรียวของเด็กหนุ่มให้ยืนขึ้นตาม
ต่อด้วยอาร์มินที่รวบเครื่องแต่งกายที่จัดไว้ในอ้อมแขนเดินตรงมา
ดวงตาสีเขียวใสมองมิคาสะที่แต่งตัวเต็มยศสลับกับอาร์มินที่ยังอยู่ในชุดยูคาตะสีฟ้าอ่อนธรรมดา
"นายไม่ไปด้วยกันเหรออาร์มิน?"
ใบหน้านวลส่ายไปมาเป็นเชิงปฏิเสธ
"ริโกะซังให้อยู่ช่วยงานน่ะ
เอเลนไปเป็นเพื่อนมิคาสะล่ะกันนะ"
โดยไม่เปิดช่องให้คัดค้าน
สองหนุ่มสาวช่วยกันรุมแต่งตัวให้อย่างรวดเร็ว เอเลนได้แต่ยืนอึ้งอย่างเหรอหรา
รู้ตัวอีกทีก็มาอยู่ในงานเทศกาลซะแล้ว
แสงสว่างจากโคมไฟเรื่อเรืองดุจกลางวัน
ร้านรวงตั้งเรียงรายมากมาย มีซุ่มอาหารและการละเล่นต่างๆ นานาละลานตาไปหมด
สุดท้ายจากที่อิดออดเพราะเพื่อนสนิทอีกคนที่ต้องอยู่โยงเฝ้าร้าน
เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนตัวสวยก็วิ่งเล่นไปทั่วจนพลัดหลงกับเพื่อนสาวที่มาด้วยกันซะแล้ว
มือเรียวช้อนปลาทองในบ่อน้ำเล็กๆ
อย่างหงุดหงิดเล็กน้อย พลางรำพึงในใจ
มิคาสะน่ะ..มิคาสะ
"แทงไปแบบนั้น
แทนที่จะช้อนปลาขึ้น จะทำปลาตายซะเปล่า"
เสียงห้าวห้วนดังขึ้นเหนือศีรษะ
ฉุดเอเลนที่กำลังจมอยู่ในภวังค์ขึ้นมาสู่สถานการณ์ปัจจุบันอีกครั้ง ดวงตากลมโตสีเขียวสดแหงนเงยปรือขึ้นสบกับนัยน์ตาสีเทาจางของคนแปลกหน้าชั่วแวบ
ก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับสิ่งที่ถืออยู่
ช้อนกระดาษที่ใช้ช้อนปลาทองเปื่อยยุ้ยไปหมดซะแล้ว
"อ๊า!"
เอเลนร้องลั่น
เงินที่สะสมมาของเข๊าาาาา มือยกขึ้นขยี้หัวที่จัดแต่งมาอย่างดีจนยุ่งเหยิง
ด้วยท่าทีห้าวจัดไม่สมกับเครื่องแต่งกายที่ดูสวยงามและเรียบร้อยแม้แต่น้อย
เจ้าเด็กนี่....
นั่งนิ่งๆ ก็ดูน่ารักอยู่หรอกนะ
แต่พอขยับเท่านั้นแหละ...
เป๋อเหลอซะไม่มี
"มานี่
จะสอนให้"
ชายหนุ่มร่างสันทัดในชุดฮากามะสีดำเช่นเดียวหับเรือนผมตัดสั้นทรุดลงข้างเคียงเด็กหนุ่ม
ดวงตาสีเขียวใสกะพริบปริบๆ เมื่อมือแข็งแกร่งคว้าจับข้อมือตนอย่างถือวิสาสะ
สัมผัสหยาบกระด้างไม่คุ้นชิน
ทำให้ต้องขืนกายหนี แต่คนอุกอาจก็หาได้สะเทือนไม่
ซ้ำยังวาดแขนมาโอบจนแทบจะขังเขาอยู่ในอ้อมแขนเจ้าตัวกลายๆ ซะแล้ว
"เวลาจะช้อนปลาน่ะ
อย่าเล็งไปที่ตัวมัน ให้ดูทิศทางที่มันจะว่ายไป"
แต่ก่อนที่จะได้พูดขัดอะไรออกไป
เขาก็ได้ยินเสียงใครสักคนเรียกชื่อตัวเองซะก่อน
"เอเลน!"
เป็นน้ำเสียงอันคุ้นเคยพาสายตาให้หันมอง
เอเลนลืมตัวผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็วด้วยการสลัดชายหนุ่มที่กอดขังตัวเองไว้อย่างหลวมๆ
ดวงตาสีเทาจางสบกับแววตาคมกริบของเด็กสาวผมดำที่มองสวนมา
สื่อความเป็นศัตรูชัดแจ้ง ก่อนมือเรียวบางจะเอื้อมฉุดรั้งเด็กหนุ่มตาสีเขียวมาใกล้
"กลับกันเถอะ
เอเลน"
มิคาสะกล่าว
ขณะที่กุมกระชับมืออีกฝ่ายแน่น
ซึ่งฝ่ายคนโดนถามก็พยักหน้าตอบเป็นเชิงตกลงไปอย่างไม่คิดมาก
หากหางตากลับเหลือบมองไปด้านหลัง ราวกับรับรู้ถึงสายตาที่จ้องมองมาไม่วางตา
ขนอ่อนลุกชันทั่วร่างอย่างไร้สาเหตุ
ดวงตาสีเทาราวหมอกควันนั้นทอประกายประหลาด ดูเผินๆ นั่นนิ่งเฉยและราบเรียบ
หากลึกลงไปในสัญชาตญาณที่ร่ำร้อง เขารู้สึกได้ถึงความกระหายในบางสิ่งบางอย่าง
เขา อาร์มิน
และมิคาสะเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกขายให้กับสำนักเกอิชาที่เป็นที่พำนักในปัจจุบันราวแปดเก้าขวบ
ปกติแล้วสำนักทั่วไปจะมีเกอิชาเป็นผู้หญิงเท่านั้น
มีบ้างที่เป็นผู็ชายแต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่ไม่ทำงานก็ไม่มีกิน
และไม่มีที่ซุกหัวนอน
พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่น
เมื่อผู้ดูแลจับหน้าเขาดูซ้ายทีขวาทีแล้วลูบคางอย่างพินิจพิเคราะห์
"ดูรั้น...
ท่าทางจะหัวดื้อไม่เบา แต่แขกบางคนชอบพวกช่างเจรจาต่อปากต่อคำ ซ้ำหน่วยก้านดี
ผิวสวยขนาดนี้จะให้ไปเป็นคนครัวก็น่าเสียดายไป"
เขาก็เลยได้เป็น 'ไมโกะ' ตามมิคาสะกับอาร์มินแบบงงๆ ซึ่งคนหลังนี่... ด้วยหน้าตาน่ารัก
ปากนิดจมูกหน่อย และดวงตาสีฟ้าใสกลมโตดูอ่อนหวานและว่าง่าย ก็ผ่านคุณสมบัติฉลุย
คราวแรกคนในสำนักนึกว่าอาร์มินเป็นเด็กผู้หญิงด้วยซ้ำ
จริงๆ แล้วเอเลนคิดด้วยซ้ำไปว่า
การเป็นไมโกะก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร มีข้าวกินอิ่ม หลับนอนสบาย ได้แต่งเนื้อแต่งตัวดีๆ
มี 'พี่สาว' ที่น่ารักคอยดูแล
จนกระทั่ง....
เด็กหนุ่มอายุย่างสิบห้าปี
ถึงวัยพอที่จะ 'ขาย' ได้แล้ว และด้วยความที่เขาเกิดต้นปี
ช่วยไม่ได้เลยที่กำหนดการประมูลจะถูกจัดขึ้นเร็วกว่าอีกสองคน
ใบหน้าเนียนอ่อนเยาวถูกเครื่องสำอางประทินโฉมอย่างงดงาม
ยามนี้กลับกันจากที่เคยเป็นฝ่ายดูแลแต่งกายให้หญิงสาว
ครานี้กลับเป็นอีกคนที่มาแต่งตัวให้
"ไม่ต้องห่วงนะเอเลน
ฉันจะพยายามหาทางช่วย"
ฮันจิกล่าว
ขณะที่มือสางเส้นผมนุ่มไปพลาง ดวงตาสีน้ำตาลแดงดูไม่สดใสเช่นที่เคย
เพราะรู้ดีว่าขึ้นชื่อว่าการประมูลแล้ว แน่นอน...
คนที่มีเงินมากที่สุดก็คือคนที่จะได้ 'พรหมจรรย์' หรือครั้งแรกของเด็กคนนี้ไป
สำนักไม่เกี่ยงอยู่แล้วว่าจะเป็นพ่อค้าหน้าเงินจิตทรามหรือตาแก่หื่นกามที่ไหน
ทว่า...
เอเลนแทบจะไร้เดียงสากับเรื่องพวกนี้อย่างสิ้นเชิง
แม้จะพยายามฝึกสอนทุกอย่างในการเป็นเกอิชา และทำได้ดีไม่แพ้เพื่อนอีกสองคน
แต่เด็กน้อยตรงหน้าไม่เหมือนกัน
อาร์มินฉลาดและทันคน คงรับรู้ได้แล้วว่าต้องเจอกับอะไรในภายภาคหน้า ส่วนมิคาสะนั่น....
ความสวยและงดงาม โดดเด่นจับตาจนมีคนใหญ่คนโตจองตัวไว้ก่อนหน้านี้นานแล้ว
เอเลนซื่อ... และคิดอะไรง่ายๆ
เหมือนเด็กทั่วไป
ไม่ได้ฉุกใจเรื่องของสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นและตัวเองจะเสียอะไรไป
"เออร์วินดันไม่อยู่ซะนี่
ไม่งั้น...ฉันจะขอให้หมอนั่นช่วยประมูลเธอ"
อย่างน้อยๆ ก็มั่นใจได้ว่า 'เพื่อน' ของเธอต้องไม่ทำอะไรรุนแรงให้เด็กคนนี้หวาดกลัวหรือเจ็บช้ำ
เออร์วินเป็นคนจิตใจดีแล้วก็อ่อนโยน
ครั้งเมื่อคราวที่เธอตกอับจากตระกูลซามูไรสูงศักดิ์ที่สิ้นทายาทชาย
จนต้องขายลูกสาวกิน คนคนนั้นก็พยายามช่วยเหลือสุดกำลังที่ตอนนั้นจะทำได้
แต่สุดท้าย...
มือที่แปรงผมให้เด็กหนุ่มชะงักลง
เธอไม่อยากเห็น...และไม่ต้องการให้เด็กน้อยที่รักเอ็นดูเหมือนน้องชายต้องประสบชะตากรรมเช่นกัน
บาดแผลของร่างกายอาจเลือนหายไปตามกาลเวลา
หากบาดแผลในจิตใจ....
บาดแผลที่มองไม่เห็นนั้น....
มันจะยังคงอยู่ติดตัวเราร่ำไป
"ฉัน..."
....พอจะช่วยอะไรเธอได้มั้ยนะ?
"นี่..
เอเลน" ฮันจิเรียก
ดวงตาสีเขียวสดใสที่เปล่งประกายระยิบระยับราวกับลูกแก้วคู่นี้
เธอไม่อยากเสียมันไปเลยจริงๆ
"ได้เวลาแล้ว..."
เสียงเนิบนาบฟังดูไร้อารมณ์
ตามติดมาหลังเสียงประตูบานเลื่อนที่ถูกเปิด หญิงสาวผมสีน้ำตาลออกแดงกำหวีในมือแน่น
เธออยากช่วย.... อยากช่วยเอเลนจริงๆ
แต่ลำพังเงินเก็บติดตัว ถึงแม้จะเป็นโอยรันอันดับต้นๆ
ของสำนักก็ใช่ว่าจะมีมากมายพอจะไปประชันแข่งประมูลกับเหล่าเศรษฐีหื่นกระหายนั่น
"ริโกะ"
ยิ่งคนตรงหน้าเป็นผู้หญิงคนนี้
ซึ่งเถรตรงและไม่ยอมมีนอกมีในหรือเล่นลูกไม้อะไรทั้งนั้นยิ่งอับจนหนทาง
มือเรียวยาวของเด็กหนุ่มกำลังโตวางลงบนลาดไหล่บาง
บีบเบาๆ ราวกับหวังจะให้วางใจ
"ผม...ไม่เป็นไรหรอกครับ
จะพยายามอดทน"
รอยยิ้มจางๆ
ผุดบนริมฝีปากสีแดงอมส้มได้รูปสวยนั่นอย่างช้าๆ
"ฮันจิซังเอง...
ไม่ต้องกังวลนะครับ"
เอเลนตัดสินเดินตามหญิงสาวร่างเล็กนัยน์ตาดุที่มาด้วย
โดยเลือกไม่สนใจหรือมองกลับหลังไปหาฮันจิซังที่ยังคงส่งสายตาเป็นห่วงไล่ตามมาทุกฝีก้าว
เด็กหนุ่มรู้ตัวดีว่าสิ่งที่ต้องเผชิญต่อไปมันโหดร้าย...
แต่ในสำนักแห่งนี้ไม่ได้สอนเพียงการร่ายรำหรือเอาใจแขกเท่านั้น
ได้สอนความเป็นจริงของโลกให้แก่เขาด้วย
ไม่มีสิ่งใดได้มา โดยไม่ต้องตอบแทน
ให้ที่ซุกหัวนอน ให้อาหาร
ก็ย่อมทำงานตอบแทน
มือเรียวกำแน่นจนข้อขึ้นขาว
แม้ว่าสิ่งที่ต้องทำนั่นจะไม่ต่างอะไรกับการขายศักดิ์ศรี....ขายร่างกายของตนก็ตามที
"เอาน่า... แต่ทีสองทีมันไม่ถึงกับตายหรอก"
เด็กหนุ่มในชุดกิโมโนสวยงามเอ่ยกับตัวเอง
อาภรณ์งดงามที่สวมใส่ไม่ได้ช่วยให้เขารู้สึกดีขึ้นเลยสักนิด
กิโมโนตัวยาวสีเขียวอมฟ้าเข้มตัดกับลายเถาดอกเหลืองอ่อน
รับกับดีกับผิวเนื้อสีแทนอ่อนนวล และดวงตากลมโตสีเขียวสดใส ดวงหน้าอ่อนใสถูกจับแต่งประทินโถมด้วยแป้งขาวจนบิดบังผิวเนียนละเอียด
โดดเด่นด้วยริมฝีปากแดงเข้มจากเครื่องสำอาง
ราวกับตุ๊กตา...ที่ต้องตกแต่งอย่างสวยงามที่สุดในวันประกาศขาย
ทำไมฉันต้องมาในที่แบบนี้ด้วย?
รีไวคิด
ด้วยใบหน้าเรียบนิ่งราวกับไม่สื่ออารมณ์ใด แม้บรรยากาศรอบตัวจะลดต่ำไปหลายองศาแสดงถึงสภาพอารมณ์อันไม่ปกติของเจ้าตัวเป็นอย่างดี
"มีแต่พวกหมูตอนอยากกินเนื้อสด..."
เรียวปากบางขยับเอ่ยคำออกมาเพียงคำเดียว
หากความหมายกลับเล่นเอาลูกน้องคนสนิทข้างตัวสะดุ้งโหยง
"รีไวซามะ!"
แต่ก็อุทานได้เพียงนามของเจ้านายเท่านั้น
เนื่องด้วยสายตาสีเทาจางปรายดุมาสกัดกั้นคำประท้วงไว้ซะก่อน
เอิร์ดแอบเหงื่อตกเล็กน้อยกับความตรงไปตรงมาของเจ้านาย...ท่านหัวหน้าทหาร
ติดแต่ม่านของเวทีที่ถูกยกพื้นสูงตรงกลางในโรงละครแห่งนี้ได้ถูกคลี่ลงมาซะก่อน
ไฟที่ได้จุดไว้ตามที่นั่งถูกนับลงไปทีละดวงสองดวง
พร้อมกับแสงสว่างที่มีค่อยๆ ถูกย้ายไปยังกึ่งกลางเวทีนั่นแทน
การแสดงของ 'ไมโกะ' หรือว่าที่ 'เกอิชา' คนใหม่ของสำนักอันดับหนึ่งแห่งเกียวโตกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ดวงตาสีเขียวสดใสที่เปล่งประกายมีชีวิตชีวาและหลากหลายอารมณ์ในชั่วพริบตานั่น
นี่ค่อยๆ เปิดลืมอย่างเชื่อมช้านั่น
สะกดสายตาจนแทบลืมหายใจ
ไม่ผิดแน่...
เด็กนั่นเป็นเจ้าเด็กที่นั่งเล่นช้อนปลาทองในงานเทศกาลเมื่อสามปีก่อนคนนั้น
ร่างสูงโปร่ง....ในชุดกิโมโนรุ่ยร่ายขยับเคลื่อนหายพลิ้วไหวไปตามจังหวะของเครื่องดนตรีที่บรรเลงคลออย่างอ่อนช้อย
มือสะบัดชายกิโมโนสีเขียวครามให้เลื่อนไหลไปตามบทเพลงราวกับเกลียวคลื่นที่ซัดสาดเข้าชายหาด
หนักบ้าง...เบาบ้าง...
ในทุกท่วงท่าชวนให้ติดตาม...
และเฝ้ามองไม่คลาดคลา
"เอเลน...สินะ"
ชื่อที่ได้ยินเพียงครั้งเดียว
หากติดตรึงในใจไม่เสื่อมคลาย
แต่ในวินาทีที่ขาเรียวยาวนั่นจะก้าวข้ามจากพื้นเวทีสู่ขั้นต่ำลงมา
เกตะหรือรองเท้าไม้ทรงสูงของเจ้าตัวนั่นยกไม่พ้นจากขอบแท่นเวที
ทำให้ร่างของเด็กน้อยผวาร่วงจากเวที
ความสูงที่มีอาจไม่มากนัก
แต่จากเครื่องแต่งกายที่รุ่มร่ามนั่นไม่สามารถทำให้เจ้าของร่างนั่นเคลื่อนไหวได้ถนัดพอจะหลบเลี่ยงหรือเบี่ยงตัวเองให้บาดเจ็บน้อยลงกว่าเดิมได้
รีไวรู้สึกอีกที
ก็รับรู้ได้ว่าร่างของตนโดดพุ่งหลาวสุดตัวไปหาร่างนั้นซะแล้ว
สัมผัสของเนื้อผ้าดีเนียนลื่นติดจะเย็นนิดๆ
จากอากาศของต้นฤูดูหนาว ในอ้อมแขนของหัวหน้าทหารหนุ่มเป็นร่างของ 'ไมโกะ' ผู้บริสุทธิ์
ดวงตาสีเขียวใสที่สะกดใจให้จับจ้องไม่วางนั่นกะพริบปริบ...มองค้างด้วยความตื่นตะลึงปนเปไปด้วยความโล่งใจส่วนหนึ่ง
เสียงฮือฮาอื้ออึงมาจากผู้คนมากมายที่เร้นกายอยู่ในความมืดมิด
คำพูดซูบซิบนินทาถึงตัวเขาและคนในอ้อมแขนแว่วมาต้องโสตประสาทเป็นระยะ
"ยืนไหวมั้ย?"
ชายหนุ่มถาม
แต่กลับไม่รอคำตอบแม้แต่น้อย มืออีกข้างช้อนเข้าตรงใต้ช่วงเข่าของร่างสูงเพรียว
แล้วยกขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาวแล้ว
"จะไปแบบนั้นไม่ได้นะคะ
รีไวซามะ"
เสียงราบเรียบจังหวะเดียว
เอ่ยรั้งฝีเท้าที่กำลังจะพาร่างตนและคนที่โอบอุ้มอยู่ห่างออกไปจากเวทีแสดง ซึ่งหลังจากการร่ายรำเมื่อครู่จบลงก็จะแปรเปลี่ยนเป็นเวทีประมูลต่อไป
ร่างที่ไม่สูงใหญ่
หากได้รับการยกย่องว่าแข็งแกร่งที่สุดในแผ่นดินเบือนสายตามาสบกับเจ้าของเสียงเล็กน้อย
"เด็กคนนั่นเป็น
'ไมโกะ' ของทางสำนักเราเจ้าค่ะ
ต่อให้เป็นท่านหัวหน้าทหารก็พาไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น"
"เด็กคนนั้นมี 'งาน' ที่ต้องทำอยู่นะคะ นายท่าน"
นัยน์ตาสีเทาคมกริบทวีความเยียบเย็นขึ้นอีกราวสิบส่วนเมื่อถึงประโยคนี้
พร้อมกับรับรู้ได้ถึงแรงสั่นสะท้านของร่างที่ประคองไว้ในอ้อมแขน
นั่นยิ่งทำให้เขา....ไม่อาจปล่อยมือ
มันคงเป็นเรื่องงี่เง่าชวนหัวหรือขี้ปากของใครต่อใครไปอีกหลายคราว
ว่าท่านหัวหน้าทหารที่ทั้งนางในและสตรีทั่วนครล้วนยินยอมทอดกายให้
กลับมาตกบ่วงของ 'ไมโกะ' ที่ยังไม่ประสีประสาตั้งแต่คราแรกที่เห็นเช่นนี้
แต่รีไวรู้ตัวดี....
หากปล่อยร่างของเด็กน้อยไปให้ใครอื่นเชยชมแล้วล่ะก็
ตัวเขานี่แหละที่จะเสียใจไปชั่วชีวิต
ทั้งต่อสำนึกผิดชอบชั่วดีในใจ
และทั้ง...
ความต้องการของตัวเอง
"เท่าไหร่?"
สองพยางค์ห้าวห้วน
กระชับได้ใจความตรงตามสถานการณ์ไม่อ้อมค้อม
น้ำเสียงที่เอ่ยโพล่งออกไปอาจจะไม่ดังนัก แต่ก็ไม่เบาจนไม่ได้ยิน
รอยยิ้มสมใจผุดขึ้นบนเรียวปากสีแดงชุ่มฉ่ำด้วยเครื่องประทินโฉมชั้นเลิศ
หญิงสาวผู้เป็นเจ้าของสำนักเกอิชาแห่งเกียวโต ยกพัดขึ้นป้องปากแล้วหัวเราะแผ่วเบา
"ต่อให้เป็นรีไวซามะก็เถอะน่ะเจ้าค่ะ
แต่ทำ 'ของชั้นดี' มีตำหนิก่อนส่งแบบนี้
คงว่ากันด้วยราคาธรรมดาไม่ได้หรอกนะคะ"
คิ้วเรียวสีเข้มจัดขมวดหม่น
ไยเขาจะไม่รู้ว่าหญิงสาวมากเล่ห์ตรงหน้ากำลังเล่นลิ้น
แต่ทางเลือกที่จะไม่เสียเปรียบนั่นไม่มีเลย
หรือถ้ามีก็คงโดนกลลวงทำให้เพลี่ยงพล้ำในตอนท้ายเอาได้
อสรพิษร้ายที่แท้ล้วนแฝงกายอยู่ในคราบอาภรณ์ที่หรูหรางดงาม
ชายหนุ่มเยาะหยันในใจ โดยปกติแล้วเขามีวิธี
'จัดการ' คนจำพวกนี้ให้หลาบจำอยู่ไม่น้อย
แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่อำนวยให้ทำได้สะดวกนัก
จำต้องเล่นตามบทที่อีกฝ่ายวางไว้
"คุยกับลูกน้องฉันเอาเองล่ะกัน
เอิร์ด"
เรียกสั่งลูกน้องคนสนิทที่ไว้ใจและฝากฝังได้มาใกล้
"จัดการไปตามที่ทางนั้นเรียกร้อง"
เสียงทุ้มต่ำกล่าวสั้น
หากสายตากลับสื่อความนัยแฝงเร้นไปอีกประการ
...แต่อย่าให้เสียเหลี่ยมจนเกินไปนัก
ซึ่งคนสนิทก็รับรู้คำสั่งอันไร้เสียงนั่นได้ไม่ยากนัก
"ฉัน...ไปได้แล้วสินะ?"เอ่ยถามลอยๆ
เวลานี้ความสนใจต่อกลุ่มคนเบื้องล่างถูกย้ายไปยังเวทีการแสดงด้านบนแล้ว
แสงสลัวเจือจางจากดวงจันทรที่ลอยเด่น
ท่ามกลางนภาไร้เมฆสาดส่องลงมาเป็นริ้วสีขาวจางๆ
ชายหนุ่มผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าทหารฝ่ามือที่กุมกระชับเสื้อนอกเขาไว้แน่น...
มันสั่นไหว
เช่นเดียวกับร่างของเด็กน้อย...
ปลายหางตาเห็นร่างของหญิงสาวหน้าตาสะสวยคนหนึ่งมาค้อมกายข้างตัว
"เชิญทางนี้เจ้าค่ะ
นายท่าน"
...นำทางสินะ
รีไวคิด คงตัดปัญหาเรื่อง 'ใช้แล้ว' ไม่ส่งคืนของล่ะสิ
ชายหนุ่มพยักหน้ารับคำเอ่ยนั่น
ก่อนจะสาวเท้าไปตามทางเดินสู่ห้องที่จัดเตรียมไว้
กึก....
เสียงเลื่อนปิดของบานประตูไม้ที่กรุด้วยกระดาษสาไม่ดังนัก
หากเรียกอาการสะดุ้งสุดตัวให้แก่ร่างของเด็กน้อย
เปลวเทียนให้ความสว่างสลัวเพียงเลือนรางส่ายไหวเป็นเงาวูบวาบอยู่ภายในโคมไฟมุมห้อง
ดวงตาสีเทาเปรยมองฟูกนอนผืนหนาที่ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อย ข้าวของในห้องมีไม่มากมายนัก
แค่โถเครื่องหอมที่ถูกจุดไว้ แล้วขวดน้ำมันหอมระเหยเท่านั้นเอง
ชายหนุ่มปล่อยร่างในอ้อมแขนลงบนผืนผ้านุ่มอย่างระมัดระวัง กิริยาทะนุถนอมราวกับเด็กน้อยเป็นเครื่องแก้วแสนเปราะบาง
ปล่อยให้ร่างสูงโปร่งของคนอายุน้อยกว่าถอยร่นไปตามฟูกนอนที่ปูไว้เรียบร้อย จนยับย่น
"อย่าเกร็ง.... ฉันจะพยายามไม่รุนแรง"
รีไวกล่าว ขณะประสานสายตากับดวงตาสีเขียวใสตรงหน้า
มันวาววับราวลูกแก้ว ยามต้องแสงไฟสลัว
ราวกับล่อลวงให้หลงใหล เหมือนแมงมุมที่ไล่ตามผีเสื้อแสนสวย
เด็กหนุ่มเม้มริมฝีปากแน่น ไม่คิดว่าตัวเองจะกลัวขนาดนี้มาก่อน
ในอกรู้สึกได้ถึงแรงบีบอัดของหัวใจที่เต้นระรัวประหนึ่งจะทะลุออกมา
"คะ...คือ... ผม..."
เสียงที่เอ่ยออกไปสั่นพร่าราวกับไม่ใช่เสียงของตัวเองที่เคยได้ยิน
"ไม่ต้องกลัว"
ปลายนิ้วสากแตะลงข้างแก้มขาวจัดด้วยเครื่องแป้ง
ไม่สบอารมณ์เล็กน้อยกับสิ่งแปลกปลอมบนผิวเนื้อเนียน
เขาอยากสัมผัส....อยากแตะต้อง...
ของจริง...
ไม่ใช่สิ่งปรุงแต่งขึ้นแบบนี้
"ขอผ้าสะอาดๆ กับน้ำอุ่น"
เสียงห้าวห้วนสั่ง
ชายหนุ่มรู้ตลอดว่ามีคนของสำนักรออยู่ในบริเวณไม่ใกล้ไม่ไกลจากห้องนี้เท่าไหร่นัก
แววตาของเด็กหนุ่มเบิกกว้างขึ้นกับสิ่งที่ได้ยิน
เอเลนพยายามทำใจกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
หากไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีใครสักคนที่ตนอาจจะรู้จักอยู่เบื้องหลังบานประตูนั่น
ปลายนิ้วทั้งสิบกำผืนผ้าที่รองรับตัวเองแน่นจนข้อมือสั่น
แต่เพียงไม่นานนัก...
ความชื้นแฉะก็ทาบทับลงมาบนผิวหน้าซะก่อน
"อ๊ะ...ไม่ต้องครับ!"
เจ้าของร่างอุทานลั่น เมื่อ 'นายท่าน' ที่ประมูลได้ตัวเขามากำลังเช็ดใบหน้าให้อย่างนุ่มนวล มือยกขึ้นปัดป้องอีกฝ่ายเป็นพัลวัน
หากอีกคนหาได้สนใจไม่ ใช้มือตนจับรวบสองมือของเด็กน้อยไว้ ส่วนอีกข้างยังคงบรรจงแตะผ้าชื้นหมาดลงบนใบหน้าอ่อนเยาว์ต่อไปอย่างตั้งใจ
ประกายตาสีเทาเรียบเฉยและจริงจัง
ส่งผลให้คนอายุน้อยกว่าเกรงใจจนเงียบเสียงและหยุดต่อต้านไปโดยปริยาย
ใช้เวลาไม่นานนัก...
เครื่องแป้งและสีแดงสดเข้มที่ถูกแต่งแต้มนั้นก็หายไปอย่างหมดจด
หลงเหลือเพียงผิวเนื้อนวลเนียนกรุ่นกลิ่นไอหอมสะอาดเท่านั้นเอง
ผ้าผืนไม่หนาไม่บางค่อยๆ
ลากไล้ไปตามผิวหน้า...เย็นชื้นให้ความรู้สึกประหลาดพอควร
เอเลนเป็นเด็กรับใช้ โตมากับการดูแลคนอื่นและถูกใช้งาน ไม่เคยได้รับการปฏิบัติอย่างอ่อนโยนแบบนี้มาก่อน
จริงอยู่ที่ฮันจิซังเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ อาจมีจับแต่งตัวโน้นนี้หรือหยอกล้อเล่นหัว
แต่ไม่เคย...ทำอะไรแบบนี้ให้
เปลือกตาบางปิดลงอย่างเชื่อมช้า เมื่อผืนผ้ามาหยุดลงหัวตา
ครานี้แต่ซับลงแผ่วเบาไม่ลากปาดเช่นเดียวกับผิวเนื้อส่วนอื่น
พริบตาเดียว หากเนิ่นนานนักในความรู้สึก...
เด็กหนุ่มเปิดตาขึ้นลืมทีละน้อยอย่างช้าๆ เพียงเพื่อพบว่าดวงตาสีเทาจางคมกริบที่แลเห็นในคราแรกนั้นลอยเด่นตรงหน้าใน
ระยะจวนเจียนจะแตะต้องกัน
ลมหายใจอุ่นระรดลงบนปลายจมูกและใบหน้าจนแก้มร้อนผะผ่าว
เอเลนประหม่า.... ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่หลับตาปี๋แบบคนไม่รู้จะทำยังไงดี
หากในความเงียบสงัดที่สงบนิ่งจนได้ยินเสียงจิ้งหรีดและเรไรร้องแว่วมานั่น
หูรับรู้ถึงเสียงชื้นแฉะในจังหวะเดียวกับที่เปลือกตาสัมผัสได้ถึงปลายลิ้น อุ่นร้อนที่แตะต้องลงมา
ร่างเพรียวสมส่วนเกร็งแข็งขึ้นในทันที ยิ่งลิ้นนั้นลากไล้ไปมาบนเปลือกตาย้ายจากซ้ายไปข้างขวา
ก่อนส่งนิ้วมือลงมาลูบผ่าน เขาก็พบว่าตัวเองยิ่งสั่นเข้าไปอีก
"ลืมตาสิ... ฉันอยากเห็นเธอชัดๆ" เสียงทุ้มต่ำลึก ฟังดูพร่าเลือนกระซิบข้างขมับ
ก่อนจะขบเม้มเพียงนิดบนใบหูเล็ก ขณะรั้งมือเรียวที่กระชับผืนฟูกหนาแน่นมากระชับไว้
รีไวยิ้มบาง
อดขำไม่ได้กับท่าทีไม่ประสีประสาและเขินอายของเด็กตรงหน้า
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขา 'นอน' กับเด็กน้อยที่ไม่เคยผ่านมือชายใด แต่กับเด็กคนนี้ปฏิกิริยาที่แสดงออกมาอย่างซื่อตรงนี่มันชวนให้เอ็นดู
และทั้งน่าใคร่น่ารังแกไปพร้อมๆ กัน
"เอเลน...."
จึงลองเรียกชื่อ...ให้ใจสั่นเล่น
แสร้งทิ้งหางเสียงลากยาวราวกับกำลังอ้อนหรือวอนขอ
ได้ผลแทบจะในทันที ดวงตาสีเขียวใสที่สะกดสายตาให้เขาจับจ้องแต่แรกเห็นเปิดลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประกายในดวงตาระริกไหวอย่างเห็นได้ชัด
"ผะ...ผม ไม่รู้...ว่าต้องทำ...อะไร"
ซ้ำคำพูดที่เอ่ยออกมาก็ยิ่งเพิ่มพูนความรื่นรมย์ให้อีกโข
....ยั่วเย้าโดยไม่รู้ตัว ไร้เดียงสาเชิญชวนให้หยอกเย้า
นายทหารหนุ่มแกล้งรวบมือที่ตนกุมไว้ก่อนหน้ามาจรดจ่อที่ริมฝีปากตัวเอง
แล้วค่อยๆ แนบจูบลงไปตามข้อนิ้วทีละนิ้ว...ทีละนิ้ว จบด้วยลากพาลมหายใจอุ่นๆ
ตามลงไปคลอเคลีย
กระแสความรู้สึกแปลกใหม่ที่ไม่เคยประประสบแล่นพล่านจากปลายนิ้วที่โดน สัมผัสจนขนอ่อนทั่วร่างลุกชัน
ผิวกายสั่นสะท้านประหลาด เอเลนเม้มริมฝีปากเเน่น แต่ไม่อาจปิดกลั้นเสียงร้องที่เหมือนเสียงเครือครวญได้
"อี๋!" มันเล็ดรอดออกมาให้เจ้าของเสียงได้อาย....
ใบหน้านวลเนียนแดงก่ำ ยิ่งสบกับดวงตาสีเทาจางของผู้ที่เงยสบมายิ่งสะท้านเฮือก
"ไม่ต้องคิดอะไร ทำตามที่ฉันบอกก็พอ"
เด็กน้อยพยักหน้าตามด้วยความใสซื่อ
รู้สึกวางใจกับน้ำเสียงทุ้มต่ำที่เอ่ยอย่างนุ่มนวลอ่อนโยนของคนตรงหน้าขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ
ร่างถูกดันให้นอนราบไปบนฟูกหนานุ่ม
ชายกิโมโนสีเข้มตกลงจากตำแหน่งเดิม เผยลาดไหล่กลมมน
และเมื่อไล่สายตาขึ้นไปก็พบช่วงไหปลาร้าและลำคอเพรียวสีอ่อน
มือของเด็กน้อยกระชับรั้งชายผ้าเข้าหาตัว แต่เหมือนจะไม่ช่วยอะไร มันยิ่งแหวกกว้างเข้าไปอีก
กลายเป็นว่าเปิดเผยผิวกายให้เขาเห็นมากขึ้น
ขาเพรียวสมส่วนชัน ยามเจ้าของร่างลงไปทอดนอนเต็มกายขดตัวราวกับเด็กตัวเล็กๆ
นัยน์ตาสีเขียวที่มองสบมามีรอยหวั่นไหนเจือจาง
หากริมฝีปากบางที่เม้มแน่นนั่นแสดงชัดว่าเจ้าตัวกำลังข่มกลั้นมันไว้อย่างสุดกำลัง
"เด็กดี"
รีไวเอ่ยชม ขณะที่ยันร่างเท้าคร่อมอีกฝ่ายไว้ มือสากแตะลงที่ข้างแก้มเนียนอีกฝ่าย
ก่อนโน้มใบหน้าลงแนบจูบเบาๆ พลางเป่าน้อยๆ
บนหน้าผากคนอายุน้อย
ตรงข้ามกับมือข้างที่ว่างค่อยๆ ไล้สัมผัสจากหัวเข่าไต่ขึ้นมาถึงปลายกิโมโนที่ระอยู่ด้านล่างสีเข้มของ กิโมโนสลับกับสีอ่อนของยูคาตะเรียงตัวสวยบนช่วงขาเรียวเพรียว เลื่อนสูงขึ้นไปเรื่อยจนสัมผัสได้ถึงส่วนอ่อนไหวใต้ร่มผ้า ปลายนิ้วสะกิดเล็กน้อย แต่หากเรียกอาการสะท้านแรงจากเจ้าของร่างได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อนิ้วทั้งห้าเข้ากอบกุมจุดไวสัมผัส ขาทั้งสองข้างยิ่งสั่นระริกมากขึ้นไปอีก
ปลายหางตามีหยดน้ำใสกลิ้งหล่นมาตามแนวขมับ
พร้อมกับริมฝีปากบางที่พยายามหอบหายใจ เสียงครางครวญแผ่วในลำคอเหมือนแมว
รีไวเหยียดยิ้ม พลางกระตุกไวสิ่งที่อยู่ในอุ้งมือ ขยับรูดรั้งไปตามส่วนสัดอันร้อนผ่ะผ่าวขึ้นแข็งชันขึ้นมือชื้นแฉะ ส่วนอีกข้างที่ว่างวางลงบนหัวไหล่มน ลาดมือลากพาสาบเสื้อด้านบนให้ร่นหล่นลงมาจรดข้อแขน
ในยามนี้แม้สายโอบิจะยังคงพันรอบเอวไว้อย่างแน่นหนา หากทั้งช่วงบนและช่วงล่างกลับถูกเปิดเผยให้เห็นชัดกระจ่างผ่านดวงตา
มือสากหนาผละจากส่วนอ่อนไหว ทิ้งให้เด็กน้อยหอบระรัว
ใบหน้าเนียนเริ่มชุ่มเหงื่อและแดงก่ำด้วยฤทธิ์กำหนัดซึ่งไม่เคยประสบ
แววตาสีเทาคมกริบไล่พิจารณาตั้งแต่ปลายข้อเท้าเพรียวขึ้นไปตามเรียวขาสมส่วนถึงโคนขาอ่อน
ยันแผ่นอกบานราบและลาดไหล่กลมมน
ผิวเนื้อนวลเนียนสีส้มอมแดงระเรื่อด้วยเลือดฝาดดูไม่ต่างจากเนื้อชิ้นหวาน
นุ่มลิ้นชวนให้กัดเลาะเล็ม
ใจหนึ่งอยากขย้ำกินให้สมอยาก แต่อีกใจก็อยากประวิงเวลา...ค่อยๆ
ดูดดื่มไปกับผิวกายนิ่มหอมสะอาดอย่างละเมียดละไม
มือหนึ่งคว้าจับข้อเท้าเพรียวมาใกล้
ดวงตาคมเสยมอง ก่อนหลุบลงต่ำ แล้วกัดเบาๆ
ตรงปลายเท้า ตั้งแต่นิ้วโป้งไปจรดน่องเพรียว เส้นประสาทเต้นพล่านจนถึงไขสันหลัง ลิ้นที่แลบเลียผิวเนื้อรับรู้ได้ถึงขนอ่อนที่ลุกชันทั่วร่างเด็กน้อย
กรุ่นกลิ่นละมุนละไมของน้ำอบหอมกำจายเบาบาง สะอาดหมดจดกระทั่งส่วนต่ำสุดของร่างกาย
คง...ทำความสะอาดมาอย่างดีสินะ
เขาคิด ขณะมาหยุดที่โคนขาอ่อน
ผิวใต้ร่มผ้าดูจะขาวกว่าส่วนที่โดนแดดลมเล็กน้อย
มันนุ่ม...จนอดไม่ได้ที่จะขบฝากรอยไว้สักหน่อย
"อ๊ะ!"
เสียงหวีดร้องแว่วมาจากริมฝีปากที่เก็บกักอารมณ์ไว้ไม่อยู่ ดวงตากลมโตที่เผลอประสานสบกันเข้าพอดีนั่นเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
และตื่นเตลิดมากขึ้นอีก
เมื่อโดนพรมจูบไปทั่วหน้าขา ลามไล้ไปถึงหน้าท้องแบนราบ
ซึ่งพอกดจูบลงไปหนักเข้า ร่างก็ยิ่งไหวแรงขึ้นอีก
ราวกับไฟที่ถูกจุดขึ้นทีละน้อย ร่างทั้งร่างค่อยๆ ร้อนขึ้น
กระแสความรู้สึกร้อยผ่าวประหนึ่งจับไข้ลามเลียไปทั่วกาย มันรุ่มร้อน...ชวนให้คนอ่อนเดียงสาน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไม่รู้จะทำเช่นไรดี
มือไม้ป่ายเปะปะไปตามผืนผ้าเนียนลื่น
จะผลักไสหรือจะแตะต้องตัวอีกฝ่ายเพื่อห้ามปรามเด็กหนุ่มก็ไม่กล้าและไม่มีสิทธิ์จะทำด้วย
เขาถูก 'ซื้อ' ไว้แล้ว....
เพื่อการณ์นี้โดยเฉพาะเลยด้วยซ้ำ
"ไม่ต้องกลัว"
เสียงทุ้มต่ำ....ดังประชิดริมหู ถ้อยคำและน้ำเสียงช่างอ่อนโยนและนุ่มนวลพาลให้อบอุ่นขึ้นอย่างไร้สาเหตุ ใจที่เต้นแรงค่อยๆ สงบลง เอเลนปรือตาขึ้น....ช้าๆ ไม่รู้ตัวแม้แต่น้อยว่าตัวเองร้องไห้ กระทั่งมือเรียวยาวของอีกฝ่ายเอื้อมมาปาดเช็ดให้ และเล็มเลียราวกับจะปลอบประโลม
"ถ้าทนไม่ไหว...ก็กอดฉันแน่นๆ"
ซ้ำยังประคองสองมือเขาคล้องคอตัวเอง มือเรียวบางวางลงบนเสื้ออีกฝ่ายอย่างกล้าๆ
กลัวๆ ก่อนจะกำแน่นจนขึ้นข้อขาว ซ้ำยังสะดุ้งเฮือก
เมื่อมือของคนตรงหน้าเลื่อนหายไปใต้ชายเสื้อกิโมโนตัวเอง
"ผะ...." เสียงเอ่ยยังไม่ทันได้เล็ดรอดออกมาครบคำ
เรียวปากสีแดงอมส้มอ่อนจางก็ชิงถูกทาบประกบด้วยจุมพิตของใครอีกคนซะก่อน
เล็บคมจิกลงบนแผ่นหลังกว้างอย่างลืมตัวด้วยอารามตกใจ หากรีไวไม่ผ่อนปรนหรือปล่อยให้อีกฝ่ายสามารถตักตวงอากาศและสติเลยสักนิด ฉวยโอกาสที่เรียวปากบางนั่นเผยออ้าออกเข้าไปเก็บเกี่ยวความหอมหวานของโพรง ปากนุ่มอุ่นอย่างตะกรุมตะกราม กัดลิ้นน้อยที่ถดถอยหนี ก่อนจะเข้าจู่โจมรัดพันดูดดื่มจนร่างในอ้อมแขนอ่อนระทวยโรยแรงไม่อาจต่อต้าน
รีไวถอนริมฝีปากมาครู่เดียวเพียงเพื่อให้ร่างด้านใต้ได้พักหายใจเล็กน้อย เอเลนก็หอบรัวหายใจเข้าออกจนแผ่นอกกระเพื่อมไหวอย่างน่ากลัวว่าจะสำลักลม หายใจตัวเองไป
ใบหน้าใสแดงระเรื่อไปทั่วทั้งผิวหน้า ซ้ำเรียวปากบางก็บวมช้ำชัดเจน จากสีเดิมที่ออกส้มอมแดงน้อยๆ เป็นสีแดงสดช้ำๆ ไปซะแล้ว น่ากิน.... ซะจนอดทนรอไม่ไหว
"นะ..นาย...ทะ..."
ร่างเพรียวหอบสั่นบิดเร่าอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ มือที่ไล้สัมผัสปลุกเร้าอยู่ใต้ร่มผ้ากลับเร่งจังหวะถี่กระชั้นไม่ผ่อนปรน รวดเร็ว....กระชากรั้งราวกับจะฉุดลากกันไปถึงฝั่งฝันในพริบตา
หยาดน้ำตาเอ่อคลอตรงหน่วยตาสีเขียวใส ความสับสนและอัดอั้นจากอารมณ์ที่ถูกปลุกขึ้นและโหมกระพือราวเพลิงที่ผลาญเรือนกายให้ร้อนรุ่ม
ของเหลวสีขาวขุ่นถะถั่งออกมาเต็มฝ่ามือเขา
รีไวไม่รีรอสักครึ่งนาทีก็ใช้นิ้วที่เปรอะเปื้อนคราบหยดเยิ้มเหล่านั้น สะกิดไต่ไปยังตามบั้นท้ายนิ่ม
สอดเข้าไปในช่องทางคับแคบ แทรกผ่านโพรงที่รัดแน่น...ฝืดจนผ่านเข้าไปได้เพียงข้อนิ้วเดียวเท่านั้น
"ไม่พอ...สินะ"
ร่างในอุ้งมือเกร็งจนสั่นอีกครา
แต่ชายหนุ่มไม่อาจเก็บกลั้นอารมณืไปได้มากกว่านี้อีกแล้ว ท่อนล่างเขาปวดหนึบ
มันอัดอั้นและเข้าไปสัมผัสภายในร่างกายอันหอมหวานเบื้องหน้า อยากฉีกกระชากปราการแสนบริสุทธิ์นี้ให้ขาดวิ่น
ให้ร้องร่ำครวญไห้ อ้อนวอน
แต่ว่า.... มันโหดร้ายเกินไป
เขาไม่อยากให้สายตาที่มองมาในภายหลังมีแต่ความหวาดกลัวต่อตนเอง
มือแกร่งรั้งกอดเอวเด็กน้อยไว้อย่างหลวมๆ
มือปัดป่ายหาน้ำมันหอมที่ถูกจัดวางไว้ ก่อนใช้ปลายนิ้วโป้งสะกิดเปิดมันออกมาโดยแรง
และเมื่อน้ำมันสีใสค่อนข้าวเหลวหนืดไหลเยิ้มไปตามง่ามนิ้วจนชุ่มโชกตามความ
ต้องการแล้ว เขาก็ใช้มันเบิกทางเข้าสู่ร่างกายอ่อนเดียงสาอีกครา
"จะ...เจ็บ" เด็กน้อยหอบหายใจ และครางเสียงสั่น ซ้ำยังพยายามจะถดกายหนีไปจากเงื้อมมือ
หากไม่อาจไปไหนพ้นจากพันธนาการที่รัดพันร่างกายไว้ได้
เขาใช้หัวเข่าดุนดันสะโพกเพรียวให้ลอยขึ้นสูง ในตำแหน่งที่พอเหมาะ ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเส้นผมสีน้ำตาลเข้มจัดซุกซบลงบนบ่ากว้าง
เมื่อตั้งสติได้ว่าตนไม่มีสิทธิ์หนีหรือขัดขืนก็จำยอมหยุดนิ่งไปในทันที
กลิ่นผมอ่อนๆ จากเครื่องหอมผสมกับกลิ่นเส้นผมนุ่มสลวยที่คลอเคลียใกล้โสตประสาทพาให้จิตใจ
เคลิบเคลิ้ม แต่ฝ่ามือก็ยังคงสอดแทรกเข้าไปในช่องทางแสนบริสุทธิ์ต่อไป เพื่อเตรียมพร้อมให้มันสามารถรองรับตนเข้าไปได้
รีไวได้ยินเสียงสะอื้นแผ่วจาง
ขณะที่เคล้นคลึงนวดไปตามช่องทางอ่อนนุ่มที่เริ่มขยับขยายนั้น
มือใหญ่ปล่อยร่างเพรียวจากอ้อมกอดตน ให้นอนหงายลงบนฟูกนอนหนานุ่ม ใบหน้าแดงระเรื่อชุ่มน้ำตาน่าจะชวนให้หดหู่หรือสงสาร
แต่ในยามนี้มันกลับกระตุ้นเร้าระคนยั่วเย้าผู้เฝ้ามองอย่างประหลาด
สองมือยึดจับหน้าขาของเด็กน้อยไว้มั่น
"อย่าเกร็ง"
เอ่ยเตือนสั้นๆ ก่อนจะดึงรั้งร่างนั้นเข้ามาใกล้ แล้วฝังความต้องการอันร้อนรุ่มที่เฝ้ารอการปลดปล่อยมาเนิ่นนานลงในช่องทาง
คับแน่นนั้น!
"อึ่....."
เสียงกรีดร้องหายไปกับผืนผ้าใต้ร่างเด็กหนุ่ม เจ้าตัวฝังใบหน้าตัวเองลงกับมันและกัดผ้าไว้แน่น
เอเลนผวาเฮือก สั่นไปทั้งตัว ยามที่ถูกส่วนสัดอันแข็งขืนร้อนผ่าวนั้นสอดแทรกเข้ามาก
เจ็บปวดไปถึงไขสันหลังราวกับจะถูกฉีกร่างออกเป็นสองส่วนทั้งเป็น
เขาอยากดิ้นรน...อยากขัดขืน...อยากผลักไสคนตรงหน้าให้ออกไปจากร่างกายตัวเอง
แต่ทำไม่ได้...
และไม่มีสิทธิ์ทำด้วย จำต้องทนรับสิ่งที่ค่อยๆ ฝังเข้ามาในเรือนร่างตนอย่างช้าๆ
โดยไม่รู้ตัวเลยว่าผนังอ่อนนุ่มแสนบริสุทธิ์ของตัวเองนั่น บีบตอดรัดของอีกฝ่ายแน่นจนฝ่ายที่ตั้งใจจะค่อยๆ
ขยับกายรุกคืบอย่างอดทน ถึงกับต้องกระแทกร่างเข้าไปให้ลึกยิ่งขึ้น
กำลังแรงที่ขยับหนักหน่วงโยกคลอนร่างทั้งให้สั่นไหว สุดท้ายก็ไม้อาจเก็บกลั้นเสียงไว้เพียงในลำคอได้อีกต่อไป
เด็กหนุ่มกรีดร้องครางไปตามแรงที่ถูกส่งเข้ามาสู่เบื้องล่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า
สองมือที่ป่ะป่ายไปตามฟูกนอนถูกดึงมาจับไว้มั่น จนร่างไม่อาจถดถอยหนีไปได้อีก
จวบจนความปรารถนาของอีกฝ่ายได้รับการปลดปล่อยออกมาจนหลั่งล้นช่องทางคับแคบ
ที่ถูกฉีกกระชากจนเลือดซึมลงเป็นด่างดวงบนผืนผ้าขาว แก่นกายใหญ่โตกระตุกสั่นฉีดพุ่งเข้าในเรือนกายเพรียวสมส่วนจนหยดสุดท้าย
แล้วถอดถอนออกมา
เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความวูบโหวงที่เบื้องล่าง.... ความโล่งใจประดังขึ้นจนแทบจะหลับลงไปทั้งแบบนี้
ถ้าไม่มีมือเรียวยาวหยาบสากไม่คุ้นเคยแตะลงบนผิวแก้มซะก่อน
"ยังไม่พอ...หรอกนะ"
ดวงตาสีเขียวใสเบิกโพล่ง ในความมืดมิดที่มีเเสงจากโคมเทียนเต้นริก เอเลนกรีดร้องในใจอย่างไร้เสียง
พยายามกอบโกยโรยแรงหนีห่างจากมือที่เอื้อมมาคว้าจับตนไว้
......................................
Talk Zone by Lina : จบยกแรกฮะ..... จะมียกสองหรือตอนต่อไปมั้ย?
ขอคิดมุกก่อนนะคะ //ปาดเหงื่อ
ปล. เผลอรุนแรงไปซะได้..... แม่?ขอโทษนะเอเลนนนนนนน